ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์ วันที่ : 28 กันยายน 2566 จำนวนผู้เข้าชม 1429 คน
28 กันยายน 2566“การจัดทำระบบประเมินผลงานกำหนด KPI ตามกรอบ BSC หรือ MBO มีความแตกต่างกันอย่างไร เลือกใช้แบบไหนเหมาะสมกว่ากัน ?”
ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานหลัก (Key Performance Indicators :KPIs) เป็นเครื่องมือที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานของหน่วยงานและผู้รับผิดชอบรายบุคคลแต่ละงาน โดยผ่านกระบวนการเก็บรายละเอียดของข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง การวางเป้าหมายแบบตัวเลขในงานเชิงปริมาณตามหลัก SMART การกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน
ในการกำหนดตัวชี้วัดนั้นควรมีแนวคิดหรือหลักการกำหนดที่มีรูปแบบเหมือนกันทั้งองค์กร แผนกงาน รายบุคคล เพื่อให้ตัวชี้วัดที่เกิดขี้นมีทิศทางสอดคล้องกันทั้งองค์กร ง่ายต่อการตรวจสอบ ทบทวนพูดคุยในภารกิจที่เกิดขึ้นร่วมกัน
หลักการแนวคิดการบริหารผลงาน 2 แบบ คือหลักการบริหารแบบ Balanced Scorecard (BSC) พัฒนาขึ้นมาจากทฤษฎีของ Kaplan and Norton (1992) และหลักบริหารแบบ Management By Objectives (MBO) ของ Prof. Dr.Peter F. Drucker (1954)
เปรียบเทียบการกำหนดการบริหารผลงาน 2 แบบ
การใช้แนวคิดแบบ BSC ค่อนข้างนำไปใช้แพร่หลายในภาคธุรกิจที่มีการแข่งขันทางการค้า การลงทุน เป็นการวางแนวคิดการบริหารผลงานแบบ 4 มุมมองหรือ 4มิติ คือ มุมมองด้านการเงิน มุมมองด้านลูกค้า มุมมองด้านกระบวนการภายในและมุมมองด้านการเติบโตเรียนรู้
1.1) มุมมองด้านการเงิน (Financial Perspective) : พิจารณาจาก สัดส่วนการเติบโตของรายได้ ยอดขาย ผลกำไรจากสินค้าหรือบริการ สัดส่วนการเติบโตการลงทุนเทียบกับคู่แข่งทางธุรกิจ การลดต้นทุน
1.2) มุมมองด้านลูกค้า (Customer Perspective) : พิจารณาความพึงพอใจลูกค้า การจัดการด้านCRM การรักษาฐานลูกค้าเดิมเพิ่มลูกค้าใหม่ สัดส่วนลูกค้าทางการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย ภาพลักษณ์องค์กรต่อลูกค้า
1.3) มุมมองด้านกระบวนการภายใน (Internal Process Perspective) : พิจารณาจากการจัดการภายในองค์กร ตั้งแต่การบริหารด้านคุณภาพการทำงานบุคลากรแต่ละแผนก การจัดการงานผลิต การดำเนินการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ ระยะเวลา การจัดส่ง การติดตามดูแลสินค้าและบริการ การจัดการระบบ LEAN
1.4) มุมมองด้านการเรียนรู้เติบโต (Learning & Growth Perspective): พิจารณาการให้ความสำคัญการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถอย่างต่อเนื่องในตำแหน่งงาน เป็นการเพิ่มขีดความสามารถแต่ละบุคคล อาจมีการกำหนดชั่วโมงบังคับหรือเก็บหน่วยกิจคะแนนในแต่ละทักษะที่จำเป็น แบ่งออกเป็น
- อบรมทักษะเทคนิคในงาน (Technical Skills) เช่น อบรมเรื่องช่างไม้ อบรมภาษีธุรกิจ อบรมการทำ CPR อบรมการใช้โปรแกรม Photoshop
- อบรมพัฒนาเพิ่มทักษะความสามารถ (Soft Skills) เช่น อบรม ESB อบรมเทคนิคการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อบรมการเขียน JD อบรมบุคลิกภาพ
- อบรมทักษะด้านวิชาชีพเฉพาะ (Specialist Skills) เช่น อบรมเก็บ CPD สำหรับนักบัญชี อบรมเก็บ CNEU สำหรับพยาบาล อบรมความปลอดภัยในการทำงานสำหรับโฟร์แมน
ข้อดี ของการบริหารผลงานอิงกรอบ BSC คือมีมุมมองแต่ละด้านครบ ทุกแผนกมองในจุดเดียวกันแต่ละมิติที่วางกรอบไว้ กรณีองค์กร แผนกงานที่ไม่มีครบ 4 มิติ อาจตัดการวัดในด้านนั้นๆไปได้ การวัดในรูปแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์กรธุรกิจรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนที่มีการเปรียบเทียบแข่งขันด้านสินค้าและบริการ
สำหรับ องค์กร ห้างร้าน บริษัท โรงงานที่ไม่ได้มุ่งเน้นการมองมิติที่กระบวนการทำงานมองเพียงจำนวนผลผลิตและผลลัพธ์ระยะสั้น ไม่มีงบประมาณสนับสนุนการพัฒนาเรียนรู้อบรม อาจไม่เลือกใช้การบริหารผลงานในแบบ BSC ใช้ในแบบ MBO มากกว่า
2. ตามแนวคิด Management By Objectives (MBO)
เป็นการบริหารงานตามนโยบายวัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้นจากระดับบนลงสู่ระดับล่าง (Top to Down) นิยมใช้ในองค์การภาครัฐหรือการบริหารแบบมีศูนย์กลางการบริหารอยู่ส่วนกลางกระจายการบริหาร สาขาสู่องค์กรย่อย บริษัทในเครือ เป็นต้น
มีการร่วมปรึกษาพูดคุยกันระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้สามารถผลักดันแนวทางการทำงาน มีการวางแผน ติดตาม การควบคุมดูแล ตลอดระยะการทำงาน เพื่อกระตุ้นการทำงานให้เกิดผลสำเร็จทั้งในเชิงประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ข้อดีของการใช้การบริหารแบบ MBO นำมาอิงหลักการตั้งตัวชี้วัดผลปฏิบัติงานหลัก คือ ได้ร่วมปรึกษาพูดคุยปัญหาการทำงานจริง นำมากำหนดตัวชี้วัดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ว่าสามารถบรรลุผลได้จริง ตัวชี้วัดที่มีความยืดหยุ่นตามนโยบาย การเมือง เศรษฐกิจ ไม่เน้นหนักลงตัวเลขทางการเงินมากเกินไป แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า หากผู้บริหารเน้นมุมมองการบริหารด้านรายได้ จำนวนลูกค้าใหม่มากเกินจากความเป็นจริงจากข้อมูลเดิม(Baseline)เกินกว่าหลายเท่าตัว การบริหารงานแนว MBO อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้ถูกวัดผลงานมากทีเดียว
ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานหลักของแต่ละบุคคลมาจากการกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(Performance Indicators :PIs) ในใบกำหนดหน้าที่งานหรือใบพรรณนางานเรียกว่า Job Description : JD) โดยนำตัวชี้วัดจากงานจริงมาใช้เป็นตัวชี้วัดหลักในการทำงานไม่เกิน 3-5 ตัวหรืออาจเกินได้ถึง 8 ตัวชี้วัด เลือกเฉพาะที่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก (Key Responsibilities) ไม่ใช่กิจกรรมหลักที่ทำประจำ (Key Activities)ทั่ วไป หรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทำหน้าที่แทน ข้อนี้ไม่นำมากำหนดเป็นตัวชี้วัดหลัก
จากประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาของผู้เขียนพบว่า อีกประการที่สำคัญที่คือตัวชี้วัดผลงานหลักไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมาก บางเคสที่ผู้เขียนพบคือระดับผู้จัดการและระดับพนักงานผู้ปฏิบัติงาน มีหน้าที่งานมากกว่า 30 หน้าที่ และกำหนดตัวชี้วัดผล KPIs 15 รายการ หน้าที่งานมากขนาดนั้น ดูแล้วทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ได้กลับบ้านแน่นอน !!
หากพบจากใบกำหนดหน้าที่หลายหน้าที่งาน ให้ผู้รับผิดชอบคัดเลือกตัวชี้วัด ฝ่ายบริหาร ฝ่ายพัฒนาคุณภาพหรือทีมงานวิเคราะห์ใบกำหนดหน้าที่งาน (Job Analysis : JA) ใหม่อีกครั้ง ใช่หน้าที่งานผู้ดำรงตำแหน่งนั้นหรือไม่ ใบหน้าที่งานนั้นลำดับความสำคัญถูกต้องหรือไม่ ใช่หน้าที่หลักหรือเป็นกิจกรรมงานของผู้ดำรงตำแหน่งหรือไม่
ควรวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลย้อนหลังระยะที่ผ่านมาทั้งรายเดือนรายปี จำนวนชั่วโมงการทำงานปกติ การทำโอทีหรือทำงานจริงเกินเวลาของการทำงานตามบริษัทกำหนด รวมถึงข้อมูลที่บันทึกผลผลิตหรือผลลัพธ์จากหน้าที่งานที่เกิดขึ้นจริงที่เชื่อถือได้ และสัมภาษณ์ผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องร่วมด้วยค่ะ
E-Mail : [email protected]
วันที่ : 28 กันยายน 2566
จำนวนผู้เข้าชม 1429 คน
กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line
Feedback 5 ขั้นตอนเพื่อพัฒนาตัวชี้วัด KPI
คุณสมบัติหัวหน้างานที่ดีไม่เพียงแต่จะบริหารทีมงานได้เท่านั้น การให้ฟีดแบ็ก (Feedback) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทีมงาน สร้างคนเก่งในองค์กร (Talent people) ลดอัตราการลาออก (Turnover rate)
อบรม ESB & AIDET Plus แก้ปัญหาการบริการและการสื่อสาร ?
อบรมพฤติกรรมบริการ (ESB) ไปแล้ว การเรียนรู้หลักสูตรเรื่อง AIDET Communications จำเป็นหรือไม่ ? AIDET เนื้อหาการเรียนรู้เรื่องอะไร ? นี่คือคำถามที่ผู้จัดอบรมในคลินิก และโรงพยาบาลหลายแห่ง
ตัวอย่างตัวชี้วัด KPI ตามตำแหน่ง & ปัญหาระยะ Action Plan
ระบบประเมินผล KPI ช่วยทำให้องค์กรคัดเลือกคนเก่งโดยอัตโนมัติ คุมงบประมาณให้อยู่ในกรอบและเพิ่มกลยุทธ์ในการแข่งขัน หากวางระบบการดำเนินการ(Action Plan)ที่ดี ผู้บริหารสูงสุดเห็นความสำคัญ
Human Touch In Healthcare ด้วย Touching & Feeling
Human Touch ถูกพูดถึงในการดูแลรักษาสุขภาพ มุมมองการมีจิตบริการมานาน ควบคู่กับคำว่า Empathy (การเอาใจใส่) ซึ่งหากพูดถึงแง่การลงมือปฏิบัติงาน Human Touch มีแนวทางนำไปใช้ได้อย่างไร ?
ประโยชน์การสื่อสารแบบ AIDET
ในช่วงที่ผู้เขียนได้ฝึกงานและทำวิจัยหัวข้อเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในโรงพยาบาลต่างประเทศ ได้สังเกต รวมถึงศึกษาวัฒนธรรมการดูแลผู้รับบริการของบุคลากรทางการแพทย์หลายกลุ่ม ทั้งการปฏิสัมพันธ์ของผู้ปฏิบัติงาน
จิตวิทยาบริการ
หลัก “จิตวิทยาบริการ (Service Psychology)” ได้รับการประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาบุคลากรและทรัพยากรในภาคธุรกิจบริการ อุตสาหกรรมภาคการบริการมาช้านาน การทำงานที่ต้องมีการติดต่อ สื่อสารส่งผ่านบุคคล