หน้าแรก หน้ารวมบทความ กำหนด KPI ตามกรอบ BSC และMBO

กำหนด KPI ตามกรอบ BSC และMBO


ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์   วันที่ :   จำนวนผู้เข้าชม 1450 คน

กด Like กด Share บทความให้เพื่อน

Facebook Twitter Line

     “การจัดทำระบบประเมินผลงานกำหนด KPI ตามกรอบ BSC หรือ MBO มีความแตกต่างกันอย่างไร เลือกใช้แบบไหนเหมาะสมกว่ากัน ?”

      ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานหลัก (Key Performance Indicators :KPIs) เป็นเครื่องมือที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานของหน่วยงานและผู้รับผิดชอบรายบุคคลแต่ละงาน โดยผ่านกระบวนการเก็บรายละเอียดของข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง การวางเป้าหมายแบบตัวเลขในงานเชิงปริมาณตามหลัก SMART การกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน

     ในการกำหนดตัวชี้วัดนั้นควรมีแนวคิดหรือหลักการกำหนดที่มีรูปแบบเหมือนกันทั้งองค์กร แผนกงาน รายบุคคล เพื่อให้ตัวชี้วัดที่เกิดขี้นมีทิศทางสอดคล้องกันทั้งองค์กร ง่ายต่อการตรวจสอบ ทบทวนพูดคุยในภารกิจที่เกิดขึ้นร่วมกัน 

     หลักการแนวคิดการบริหารผลงาน 2 แบบ คือหลักการบริหารแบบ Balanced Scorecard (BSC) พัฒนาขึ้นมาจากทฤษฎีของ Kaplan and Norton (1992) และหลักบริหารแบบ Management By Objectives (MBO) ของ Prof. Dr.Peter F. Drucker (1954) 

เปรียบเทียบการกำหนดการบริหารผลงาน  2 แบบ

  1. ตามแนวคิด Balanced Scorecard (BSC)

     การใช้แนวคิดแบบ BSC ค่อนข้างนำไปใช้แพร่หลายในภาคธุรกิจที่มีการแข่งขันทางการค้า การลงทุน เป็นการวางแนวคิดการบริหารผลงานแบบ 4 มุมมองหรือ 4มิติ คือ มุมมองด้านการเงิน มุมมองด้านลูกค้า มุมมองด้านกระบวนการภายในและมุมมองด้านการเติบโตเรียนรู้ 

        1.1) มุมมองด้านการเงิน (Financial Perspective) : พิจารณาจาก สัดส่วนการเติบโตของรายได้ ยอดขาย ผลกำไรจากสินค้าหรือบริการ สัดส่วนการเติบโตการลงทุนเทียบกับคู่แข่งทางธุรกิจ การลดต้นทุน

        1.2) มุมมองด้านลูกค้า (Customer Perspective) : พิจารณาความพึงพอใจลูกค้า การจัดการด้านCRM  การรักษาฐานลูกค้าเดิมเพิ่มลูกค้าใหม่ สัดส่วนลูกค้าทางการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย ภาพลักษณ์องค์กรต่อลูกค้า

        1.3) มุมมองด้านกระบวนการภายใน (Internal Process Perspective)  : พิจารณาจากการจัดการภายในองค์กร ตั้งแต่การบริหารด้านคุณภาพการทำงานบุคลากรแต่ละแผนก การจัดการงานผลิต การดำเนินการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ ระยะเวลา การจัดส่ง การติดตามดูแลสินค้าและบริการ  การจัดการระบบ LEAN

        1.4) มุมมองด้านการเรียนรู้เติบโต (Learning & Growth Perspective): พิจารณาการให้ความสำคัญการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถอย่างต่อเนื่องในตำแหน่งงาน เป็นการเพิ่มขีดความสามารถแต่ละบุคคล อาจมีการกำหนดชั่วโมงบังคับหรือเก็บหน่วยกิจคะแนนในแต่ละทักษะที่จำเป็น แบ่งออกเป็น 

     - อบรมทักษะเทคนิคในงาน (Technical Skills) เช่น อบรมเรื่องช่างไม้  อบรมภาษีธุรกิจ อบรมการทำ CPR อบรมการใช้โปรแกรม Photoshop 

     - อบรมพัฒนาเพิ่มทักษะความสามารถ (Soft Skills)  เช่น อบรม ESB อบรมเทคนิคการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อบรมการเขียน JD อบรมบุคลิกภาพ

     - อบรมทักษะด้านวิชาชีพเฉพาะ (Specialist Skills) เช่น อบรมเก็บ CPD สำหรับนักบัญชี อบรมเก็บ CNEU สำหรับพยาบาล อบรมความปลอดภัยในการทำงานสำหรับโฟร์แมน

     ข้อดี ของการบริหารผลงานอิงกรอบ BSC คือมีมุมมองแต่ละด้านครบ ทุกแผนกมองในจุดเดียวกันแต่ละมิติที่วางกรอบไว้ กรณีองค์กร แผนกงานที่ไม่มีครบ 4 มิติ อาจตัดการวัดในด้านนั้นๆไปได้ การวัดในรูปแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์กรธุรกิจรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนที่มีการเปรียบเทียบแข่งขันด้านสินค้าและบริการ 

      สำหรับ องค์กร ห้างร้าน บริษัท โรงงานที่ไม่ได้มุ่งเน้นการมองมิติที่กระบวนการทำงานมองเพียงจำนวนผลผลิตและผลลัพธ์ระยะสั้น ไม่มีงบประมาณสนับสนุนการพัฒนาเรียนรู้อบรม อาจไม่เลือกใช้การบริหารผลงานในแบบ BSC ใช้ในแบบ MBO มากกว่า

     2. ตามแนวคิด Management By Objectives (MBO)

     เป็นการบริหารงานตามนโยบายวัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้นจากระดับบนลงสู่ระดับล่าง (Top to Down) นิยมใช้ในองค์การภาครัฐหรือการบริหารแบบมีศูนย์กลางการบริหารอยู่ส่วนกลางกระจายการบริหาร สาขาสู่องค์กรย่อย บริษัทในเครือ เป็นต้น

     มีการร่วมปรึกษาพูดคุยกันระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้สามารถผลักดันแนวทางการทำงาน มีการวางแผน ติดตาม การควบคุมดูแล ตลอดระยะการทำงาน เพื่อกระตุ้นการทำงานให้เกิดผลสำเร็จทั้งในเชิงประสิทธิภาพและประสิทธิผล 

      ข้อดีของการใช้การบริหารแบบ MBO นำมาอิงหลักการตั้งตัวชี้วัดผลปฏิบัติงานหลัก คือ ได้ร่วมปรึกษาพูดคุยปัญหาการทำงานจริง นำมากำหนดตัวชี้วัดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ว่าสามารถบรรลุผลได้จริง ตัวชี้วัดที่มีความยืดหยุ่นตามนโยบาย การเมือง เศรษฐกิจ ไม่เน้นหนักลงตัวเลขทางการเงินมากเกินไป แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า หากผู้บริหารเน้นมุมมองการบริหารด้านรายได้ จำนวนลูกค้าใหม่มากเกินจากความเป็นจริงจากข้อมูลเดิม(Baseline)เกินกว่าหลายเท่าตัว การบริหารงานแนว MBO อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้ถูกวัดผลงานมากทีเดียว

     ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานหลักของแต่ละบุคคลมาจากการกำหนดตัวชี้วัดผลงาน(Performance Indicators :PIs) ในใบกำหนดหน้าที่งานหรือใบพรรณนางานเรียกว่า Job Description : JD) โดยนำตัวชี้วัดจากงานจริงมาใช้เป็นตัวชี้วัดหลักในการทำงานไม่เกิน 3-5 ตัวหรืออาจเกินได้ถึง 8 ตัวชี้วัด  เลือกเฉพาะที่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก (Key Responsibilities) ไม่ใช่กิจกรรมหลักที่ทำประจำ (Key Activities)ทั่ วไป หรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทำหน้าที่แทน ข้อนี้ไม่นำมากำหนดเป็นตัวชี้วัดหลัก

     จากประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาของผู้เขียนพบว่า อีกประการที่สำคัญที่คือตัวชี้วัดผลงานหลักไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมาก บางเคสที่ผู้เขียนพบคือระดับผู้จัดการและระดับพนักงานผู้ปฏิบัติงาน มีหน้าที่งานมากกว่า 30 หน้าที่ และกำหนดตัวชี้วัดผล KPIs 15 รายการ  หน้าที่งานมากขนาดนั้น ดูแล้วทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ได้กลับบ้านแน่นอน !!

     หากพบจากใบกำหนดหน้าที่หลายหน้าที่งาน ให้ผู้รับผิดชอบคัดเลือกตัวชี้วัด ฝ่ายบริหาร ฝ่ายพัฒนาคุณภาพหรือทีมงานวิเคราะห์ใบกำหนดหน้าที่งาน (Job Analysis : JA) ใหม่อีกครั้ง ใช่หน้าที่งานผู้ดำรงตำแหน่งนั้นหรือไม่ ใบหน้าที่งานนั้นลำดับความสำคัญถูกต้องหรือไม่ ใช่หน้าที่หลักหรือเป็นกิจกรรมงานของผู้ดำรงตำแหน่งหรือไม่ 

     ควรวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลย้อนหลังระยะที่ผ่านมาทั้งรายเดือนรายปี จำนวนชั่วโมงการทำงานปกติ การทำโอทีหรือทำงานจริงเกินเวลาของการทำงานตามบริษัทกำหนด รวมถึงข้อมูลที่บันทึกผลผลิตหรือผลลัพธ์จากหน้าที่งานที่เกิดขึ้นจริงที่เชื่อถือได้ และสัมภาษณ์ผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องร่วมด้วยค่ะ  

วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์


E-Mail : [email protected]

วันที่ : 28 กันยายน 2566

จำนวนผู้เข้าชม 1450 คน

กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line

บทความที่เกี่ยวข้อง


กำหนดตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD

ธุรกิจหรือกิจการ SME ขนาดเล็กไม่มีการจัดทำใบกำหนดหน้าที่งาน อาจไม่สะดวกใช้การ ประเมินผลแบบ BSC เทคนิคง่ายๆ ในการกำหนดตัวชี้วัดผล สำหรับผู้จัดทำ KPI มือใหม่ กำหนด ตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD ทำอย่างไร ?

Feedback 5 ขั้นตอนเพื่อพัฒนาตัวชี้วัด KPI

คุณสมบัติหัวหน้างานที่ดีไม่เพียงแต่จะบริหารทีมงานได้เท่านั้น การให้ฟีดแบ็ก (Feedback) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทีมงาน สร้างคนเก่งในองค์กร (Talent people) ลดอัตราการลาออก (Turnover rate)

อบรม ESB & AIDET Plus แก้ปัญหาการบริการและการสื่อสาร ?

อบรมพฤติกรรมบริการ (ESB) ไปแล้ว การเรียนรู้หลักสูตรเรื่อง AIDET Communications จำเป็นหรือไม่ ? AIDET เนื้อหาการเรียนรู้เรื่องอะไร ? นี่คือคำถามที่ผู้จัดอบรมในคลินิก และโรงพยาบาลหลายแห่ง

ตัวอย่างตัวชี้วัด KPI ตามตำแหน่ง & ปัญหาระยะ Action Plan

ระบบประเมินผล KPI ช่วยทำให้องค์กรคัดเลือกคนเก่งโดยอัตโนมัติ คุมงบประมาณให้อยู่ในกรอบและเพิ่มกลยุทธ์ในการแข่งขัน หากวางระบบการดำเนินการ(Action Plan)ที่ดี ผู้บริหารสูงสุดเห็นความสำคัญ

Human Touch In Healthcare ด้วย Touching & Feeling

Human Touch ถูกพูดถึงในการดูแลรักษาสุขภาพ มุมมองการมีจิตบริการมานาน ควบคู่กับคำว่า Empathy (การเอาใจใส่) ซึ่งหากพูดถึงแง่การลงมือปฏิบัติงาน Human Touch มีแนวทางนำไปใช้ได้อย่างไร ?

ประโยชน์การสื่อสารแบบ AIDET

ในช่วงที่ผู้เขียนได้ฝึกงานและทำวิจัยหัวข้อเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในโรงพยาบาลต่างประเทศ ได้สังเกต รวมถึงศึกษาวัฒนธรรมการดูแลผู้รับบริการของบุคลากรทางการแพทย์หลายกลุ่ม ทั้งการปฏิสัมพันธ์ของผู้ปฏิบัติงาน