ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์ วันที่ : 08 ธันวาคม 2563 จำนวนผู้เข้าชม 823 คน
08 ธันวาคม 2563ปัจจุบันระบบสมรรถนะมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีการกำหนดให้สอดคล้องไปตามนโยบายและขอบเขตการพัฒนาองค์กร ขึ้นอยู่กับความสำคัญและความจำเป็นแต่ละหน่วยงาน มีบางคำถามสงสัยว่า ทำไมสมรรถนะแต่ละหน่วยงานจึงมากน้อยไม่เท่ากันแล้วจะเอาอะไรมาประเมินว่าแผนกดังกล่าวทำงานดีหรือทำงานมากไป
คำตอบคือก่อนอื่นนั้นนักทรัพยากรมนุษย์ต้องมาวิเคราะห์งานเสียก่อนจึงจัดทำใบพรรณางานให้เป็นรูปแบบหรือเรียกกันว่า JD (Job Description) หากองค์กรไหนไม่มีการกำหนดหน้าที่งานเป็นกิจลักษณะจะพบปัญหาความไม่เท่าเทียม ความไม่รู้หน้าที่งานสูง ตำแหน่งนั้นลาออกไปมักจะไปพร้อมกับหน้าที่งานด้วยหัวหน้างานต้องมานั่งพรรณางานให้พนักงานใหม่จดกันหน้าดำคร่ำเครียด เป็นการทำงานซ้ำซ้อนเสียเวลาในส่วนที่ควรจะพัฒนาด้านอื่นๆไป
ดังนั้น เมื่อองค์กรต้องการพัฒนาระบบงาน หรือมาตรฐานการปฏิบัติงาน SOP(Standard Operating Procedure) สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อใช้จัดเก็บข้อมูลกำหนดหน้าที่งานอย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายอีกทั้งยังช่วยเรื่องการสรรหาบุคลากรที่เหมาะสมดำรงตำแหน่งที่ต้องการได้ทันเวลา สำหรับเรื่องสมรรถนะในการทำงานนั้น ขอยกตัวอย่างโดยสังเขป เพื่อทำความเข้าใจสำหรับนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกท่าน
สำหรับ Competency(สมรรถนะ) นั้น แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. สมรรถนะหลักองค์กร (Core Competency: CC) หมายถึงทักษะและคุณลักษณะที่ทุกคนในองค์กรจำเป็นต้องมี เป็นพื้นฐานที่จะนำองค์กรไปสู่วิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่น การบริการที่ดี (Service Mind),ความร่วมแรงร่วมใจ (Teamwork), จริยธรรม (Integrity) ,ความชำนาญในงานสายอาชีพ (Expertise) ,การยืดหยุ่นปรับตัว (Flexibility) เป็นต้น
2. สมรรถนะตามบทบาทหน้าที่ (Functional Competency: FC) หมายถึง ความรู้ ทักษะและ คุณลักษณะที่บุคลากรจำเป็นต้องมี เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ สมรรถนะตามบทบาทหน้าที่ ประกอบด้วย การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking),ความมั่นใจของตนเอง (Self Confidence),การสื่อสารจูงใจ (Communication &Motivate),การประสานงาน (Coordination) ,การวางแผน (Planning),การติดตามงาน (Follow up),การเจรจาต่อรอง (Negotiation),การแก้ปัญหา (Problem Solving),การให้คำปรึกษา (Consultation) เป็นต้น
3. สมรรถนะด้านการบริหารจัดการ (Management Competency: MC) หมายถึง ความรู้ ทักษะและ คุณลักษณะด้านการบริหารจัดการที่จำเป็นสำหรับพนักงานที่มีหน้าที่ในระดับบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายวางไว้ ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจและการแก้ปัญหา(Decision Making &Problem Solving),การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management),การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management),การโค้ชสอนงาน (Coaching) เป็นต้น
4. ความรู้เฉพาะตามสายงาน (Job Competency: JC) หมายถึง ความรู้เฉพาะสายงานที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่เพื่อบรรลุเป้าหมายวางไว้ ประกอบด้วย ความรู้ด้านงานพัฒนาฝึกอบรม (Human Resources Development Knowledge),ความรู้ด้านงานบัญชี (Accounting Knowledge),ความรู้ด้านการตลาด (Marketing Knowledge)
ความรู้เพิ่มเติม การกำหนด Competency แต่ละหัวข้อควรมีการวิเคราะห์งานให้เรียบร้อยเสียก่อน โดยทีมที่วิเคราะห์งานต้องประกอบไปด้วยผู้ดำรงตำแหน่งในงาน หัวหน้างานหรือผู้จัดการ รวมถึงฝ่ายบริหารที่รับผิดชอบงานโดยตรง เพราะ Competency บางข้ออาจมีความเกี่ยวข้องและข้ามสายงานเป็นได้ |
คำถามน่ารู้
1. Core Competency ในองค์กรท่านมีกี่ข้อ อะไรบ้าง ?
................................................
2. Competency แต่ละตำแหน่งงาน(Job Competency) ควรกำหนดกี่ข้อ ?
..................................................
3. ใครควรเป็นผู้กำหนด Competency ?
..................................................
E-Mail : [email protected]
วันที่ : 08 ธันวาคม 2563
จำนวนผู้เข้าชม 823 คน
กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line
ตัวอย่างตัวชี้วัด KPI ตามตำแหน่ง & ปัญหาระยะ Action Plan
ระบบประเมินผลKPI ช่วยทำให้องค์กรคัดเลือกคนเก่งโดยอัตโนมัติ คุมงบประมาณให้อยู่ในกรอบและเพิ่มกลยุทธ์ในการแข่งขัน หากวางระบบการดำเนินการ(Action Plan)ที่ดี ผู้บริหารสูงสุดเห็นความสำคัญ มอบหมายผู้รับผิดชอบ
Human Touch In Healthcare ด้วย Touching & Feeling
Human Touch ถูกพูดถึงในการดูแลรักษาสุขภาพ มุมมองการมีจิตบริการมานาน ควบคู่กับคำว่า Empathy (การเอาใจใส่) ซึ่งหากพูดถึงแง่การลงมือปฏิบัติงาน Human Touch มีแนวทางนำไปใช้ได้อย่างไร ?
ประโยชน์การสื่อสารแบบ AIDET
ในช่วงที่ผู้เขียนได้ฝึกงานและทำวิจัยหัวข้อเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในโรงพยาบาลต่างประเทศ ได้สังเกต รวมถึงศึกษาวัฒนธรรมการดูแลผู้รับบริการของบุคลากรทางการแพทย์หลายกลุ่ม ทั้งการปฏิสัมพันธ์ของผู้ปฏิบัติงาน
จิตวิทยาบริการ
หลัก “จิตวิทยาบริการ (Service Psychology)” ได้รับการประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาบุคลากรและทรัพยากรในภาคธุรกิจบริการ อุตสาหกรรมภาคการบริการมาช้านาน การทำงานที่ต้องมีการติดต่อ สื่อสารส่งผ่านบุคคล
เทคนิคการพูดเพิ่มภาวะผู้นำ
คำพูดเป็นปราการด่านแรกแห่งความสำเร็จในอาชีพ เป็นการแสดงออกด้วยวจนภาษาดึงดูดผู้คนเข้ามาสนใจหรือผลักออกไปจากจากวงโคจรชีวิต โดยเฉพาะงานที่ให้บริการทั้งทางแบบออนไลน์ ออฟไลน์ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ทักษะการพูด
แนวทางสร้าง Training Needs ก่อนทำ TRM
แบบสอบถาม Training Needs เพื่อสอบถามพนักงานในองค์กร ผลของคำตอบในแบบสอบถามนั้น นำมาเพื่อใช้ประเมินหาหลักสูตรที่จำเป็น (Training Needs) ในการอบรมต่อตำแหน่งงานไม่ใช่หลักสูตรที่ต้องการฝึกอบรม