ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์ วันที่ : 08 ธันวาคม 2563 จำนวนผู้เข้าชม 1971 คน
08 ธันวาคม 2563ปัจจุบันระบบสมรรถนะมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมีการกำหนดให้สอดคล้องไปตามนโยบายและขอบเขตการพัฒนาองค์กร ขึ้นอยู่กับความสำคัญและความจำเป็นแต่ละหน่วยงาน มีบางคำถามสงสัยว่า ทำไมสมรรถนะแต่ละหน่วยงานจึงมากน้อยไม่เท่ากันแล้วจะเอาอะไรมาประเมินว่าแผนกดังกล่าวทำงานดีหรือทำงานมากไป
คำตอบคือก่อนอื่นนั้นนักทรัพยากรมนุษย์ต้องมาวิเคราะห์งานเสียก่อนจึงจัดทำใบพรรณางานให้เป็นรูปแบบหรือเรียกกันว่า JD (Job Description) หากองค์กรไหนไม่มีการกำหนดหน้าที่งานเป็นกิจลักษณะจะพบปัญหาความไม่เท่าเทียม ความไม่รู้หน้าที่งานสูง ตำแหน่งนั้นลาออกไปมักจะไปพร้อมกับหน้าที่งานด้วยหัวหน้างานต้องมานั่งพรรณางานให้พนักงานใหม่จดกันหน้าดำคร่ำเครียด เป็นการทำงานซ้ำซ้อนเสียเวลาในส่วนที่ควรจะพัฒนาด้านอื่นๆไป
ดังนั้น เมื่อองค์กรต้องการพัฒนาระบบงาน หรือมาตรฐานการปฏิบัติงาน SOP(Standard Operating Procedure) สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อใช้จัดเก็บข้อมูลกำหนดหน้าที่งานอย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายอีกทั้งยังช่วยเรื่องการสรรหาบุคลากรที่เหมาะสมดำรงตำแหน่งที่ต้องการได้ทันเวลา สำหรับเรื่องสมรรถนะในการทำงานนั้น ขอยกตัวอย่างโดยสังเขป เพื่อทำความเข้าใจสำหรับนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกท่าน
สำหรับ Competency(สมรรถนะ) นั้น แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. สมรรถนะหลักองค์กร (Core Competency: CC) หมายถึงทักษะและคุณลักษณะที่ทุกคนในองค์กรจำเป็นต้องมี เป็นพื้นฐานที่จะนำองค์กรไปสู่วิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่น การบริการที่ดี (Service Mind),ความร่วมแรงร่วมใจ (Teamwork), จริยธรรม (Integrity) ,ความชำนาญในงานสายอาชีพ (Expertise) ,การยืดหยุ่นปรับตัว (Flexibility) เป็นต้น
2. สมรรถนะตามบทบาทหน้าที่ (Functional Competency: FC) หมายถึง ความรู้ ทักษะและ คุณลักษณะที่บุคลากรจำเป็นต้องมี เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ สมรรถนะตามบทบาทหน้าที่ ประกอบด้วย การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking),ความมั่นใจของตนเอง (Self Confidence),การสื่อสารจูงใจ (Communication &Motivate),การประสานงาน (Coordination) ,การวางแผน (Planning),การติดตามงาน (Follow up),การเจรจาต่อรอง (Negotiation),การแก้ปัญหา (Problem Solving),การให้คำปรึกษา (Consultation) เป็นต้น
3. สมรรถนะด้านการบริหารจัดการ (Management Competency: MC) หมายถึง ความรู้ ทักษะและ คุณลักษณะด้านการบริหารจัดการที่จำเป็นสำหรับพนักงานที่มีหน้าที่ในระดับบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายวางไว้ ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจและการแก้ปัญหา(Decision Making &Problem Solving),การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management),การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management),การโค้ชสอนงาน (Coaching) เป็นต้น
4. ความรู้เฉพาะตามสายงาน (Job Competency: JC) หมายถึง ความรู้เฉพาะสายงานที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่เพื่อบรรลุเป้าหมายวางไว้ ประกอบด้วย ความรู้ด้านงานพัฒนาฝึกอบรม (Human Resources Development Knowledge),ความรู้ด้านงานบัญชี (Accounting Knowledge),ความรู้ด้านการตลาด (Marketing Knowledge)
ความรู้เพิ่มเติม การกำหนด Competency แต่ละหัวข้อควรมีการวิเคราะห์งานให้เรียบร้อยเสียก่อน โดยทีมที่วิเคราะห์งานต้องประกอบไปด้วยผู้ดำรงตำแหน่งในงาน หัวหน้างานหรือผู้จัดการ รวมถึงฝ่ายบริหารที่รับผิดชอบงานโดยตรง เพราะ Competency บางข้ออาจมีความเกี่ยวข้องและข้ามสายงานเป็นได้ |
คำถามน่ารู้
1. Core Competency ในองค์กรท่านมีกี่ข้อ อะไรบ้าง ?
................................................
2. Competency แต่ละตำแหน่งงาน(Job Competency) ควรกำหนดกี่ข้อ ?
..................................................
3. ใครควรเป็นผู้กำหนด Competency ?
..................................................
E-Mail : [email protected]
วันที่ : 08 ธันวาคม 2563
จำนวนผู้เข้าชม 1971 คน
กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line
กำหนดตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD
ธุรกิจหรือกิจการ SME ขนาดเล็กไม่มีการจัดทำใบกำหนดหน้าที่งาน อาจไม่สะดวกใช้การ ประเมินผลแบบ BSC เทคนิคง่ายๆ ในการกำหนดตัวชี้วัดผล สำหรับผู้จัดทำ KPI มือใหม่ กำหนด ตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD ทำอย่างไร ?
Feedback 5 ขั้นตอนเพื่อพัฒนาตัวชี้วัด KPI
คุณสมบัติหัวหน้างานที่ดีไม่เพียงแต่จะบริหารทีมงานได้เท่านั้น การให้ฟีดแบ็ก (Feedback) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทีมงาน สร้างคนเก่งในองค์กร (Talent people) ลดอัตราการลาออก (Turnover rate)
อบรม ESB & AIDET Plus แก้ปัญหาการบริการและการสื่อสาร ?
อบรมพฤติกรรมบริการ (ESB) ไปแล้ว การเรียนรู้หลักสูตรเรื่อง AIDET Communications จำเป็นหรือไม่ ? AIDET เนื้อหาการเรียนรู้เรื่องอะไร ? นี่คือคำถามที่ผู้จัดอบรมในคลินิก และโรงพยาบาลหลายแห่ง
ทฤษฎีตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์และการบริการ
การเลือกใช้สินค้า และบริการนั้นเกิดจากการเรียนรู้ของผู้เลือกใช้ อาจมาจากข้อมูลสื่อโฆษณาในช่องทางต่างๆ ประสบการณ์คำบอกเล่า ประสบการณ์ตรงที่ได้รับมาจากผู้ใช้บริการ
พฤติกรรมบริการต่อลูกค้าทั่วไป คลินิก โรงพยาบาล
การบริการไม่ใช่สินค้าที่สามารถคงรูปรส กลิ่น เสียงได้เมื่อเปลี่ยนผู้ให้บริการพฤติกรรมการส่งมอบบริการอาจเปลี่ยนไปตามลักษณะของบุคคลนั้น สิ่งที่ทำให้พฤติกรรมการบริการคงที่คงอยู่นั้นคือ การสร้าง Empathy
ตัวอย่างตัวชี้วัด KPI ตามตำแหน่ง & ปัญหาระยะ Action Plan
ระบบประเมินผล KPI ช่วยทำให้องค์กรคัดเลือกคนเก่งโดยอัตโนมัติ คุมงบประมาณให้อยู่ในกรอบและเพิ่มกลยุทธ์ในการแข่งขัน หากวางระบบการดำเนินการ(Action Plan)ที่ดี ผู้บริหารสูงสุดเห็นความสำคัญ