หน้าแรก หน้ารวมบทความ เขียนคำบรรยาย JD ที่ดี

เขียนคำบรรยาย JD ที่ดี


ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์   วันที่ :   จำนวนผู้เข้าชม 1316 คน

กด Like กด Share บทความให้เพื่อน

Facebook Twitter Line

      “การเขียน JD (Job Description) มีความสำคัญมาก ทำให้สรรหาคนได้ตรงตำแหน่ง ตามข้อกำหนดคุณสมบัติและสมรรถนะที่จำเป็นในการทำงาน ?” 

ไม่ว่าธุรกิจเริ่ม SME ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่หากมีการกำหนดหน้าที่การทำงานแต่ละบุคคลนั้น ก่อนเริ่มเขียน JD แต่ละองค์กร/บริษัทมีการออกแบบงาน (Job Design) ให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการผลิตสินค้าหรือบริการ ลำดับต่อมากำหนดบทบาทหน้าที่แต่ละบุคคล (Job Role) ให้ตรงตามการทำงานจริง หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการเขียนคำบรรยายลักษณะงานให้ตรงตามคุณสมบัติงานนั่นคือ JD (Job Description)  

     ในขั้นตอนการเขียนJDจึงมีความสำคัญส่งผลให้เกิดการสรรหาบุคคลตรงตามตำแหน่งที่ต้องการ โดยองค์ประกอบการเขียน JD ให้สมบูรณ์นั้นมีอยู่อย่างน้อย 4 ส่วนคือ 

     ส่วนที่ 1 : หน้าที่ความรับผิดชอบหลัก (Key Accountabilities)

กำหนดความรับผิดชอบ ภาระหน้าที่อันจำเป็นต้องนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ในงาน ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ในการทำงานตามหน้าที่ให้สำเร็จสนับสนุนตามภารกิจแผนงานของหน่วยงาน แผนกและองค์กร อาจเขียนในรูปแบบภาพรวมหรือบางครั้งเพิ่มความชัดเจนให้มากขึ้นระบุเป็นข้อๆตามลำดับความสำคัญงาน คืองานสำคัญที่สุดลำดับแรกถัดมาคือสำคัญรองลงมาตามลำดับ งานอื่นที่ได้รับมอบหมายเพิ่มเติมเป็นลำดับสุดท้าย เช่น ตำแหน่งStock :ตรวจรับสินค้าคืนจากฝ่ายจัดส่งและลงในโปรแกรมลงทะเบียนรับคืนทุกครั้ง  ตำแหน่ง IT Programmer : นำเสนอรูปการเขียนโปรแกรมที่เกี่ยวข้องแต่ละโครงการแก่ผู้รับผิดชอบโครงการตามกรอบเวลา

     ส่วนที่ 2 : คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งงาน (Education and Experience)

กำหนดคุณสมบัติด้านวุฒิการศึกษาที่จำเป็น จำนวนปีที่จบการศึกษา สาขาวิชาที่ต้องการหรือบางครั้งในบางตำแหน่งต้องใช้ใบประกอบวิชาชีพเฉพาะทาง รวมไปถึงกำหนดคุณสมบัติประสบการณ์จำนวนปีการดำรงตำแหน่งที่ผ่านมาระดับที่ไม่น้อยกว่าหรือขั้นสูงสุดกี่ปี  ในส่วนนี้สามารถกำหนดคุณสมบัติอายุผู้ดำรงตำแหน่งลงไปได้ ในบางตำแหน่งงานอาจจำเป็นต้องระบุเพศผู้ดำรงตำแหน่ง เช่น ตำแหน่งผู้ช่วยเหลือคนไข้ตึกสูตินรีเวช : ระบุรับเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น ตำแหน่งพนักงานรักษาความปลอดภัยทางการเงินธนาคาร : ระบุรับเฉพาะเพศชายเท่านั้น

     ส่วนที่ 3 : ความรู้ ความสามารถและทักษะในตำแหน่งงาน (Knowledge Abilities and Skills )

     กำหนดความรู้ที่ต้องการเฉพาะทางหรือความรู้ที่เกี่ยวข้องในงานเช่นความรู้ด้านงานอนามัยสิ่งแวดล้อม ความรู้ด้านการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้น  ความสามารถเพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับงานเช่นความสามารถการบริหารจัดการ5ส ความสามารถการใช้คอมพิวเตอร์ Microsoft office ทักษะที่ใช้สำหรับการดำรงตำแหน่งเช่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการจัดการข้อขัดแย้ง

      ส่วนที่ 4 : สมรรถนะที่จำเป็นในตำแหน่ง (Competencies)

     กำหนดสมรรถนะนั้นมีความสำคัญมาก ซึ่งบางท่านอาจมองข้ามไม่เขียนตรงนี้ องค์กรควรกำหนดสมรรถนะหลัก     (Core Competencies)ก่อน แล้วนำข้อกำหนดที่ได้เขียนลงข้อกำหนดสมรรถนะบุคคลทำให้ได้คนทำงานตรงตามขีดความสามารถองค์กร ในบางกรณีผู้ดำรงตำแหน่งนั้นขาดสมรรถนะที่องค์กรต้องการแต่ในใบกำหนดหน้าที่มีข้อความสำคัญตรงนี้ไว้ อาจให้เขาเหล่านั้นต้องเรียนรู้พัฒนาเพิ่มเติมในองค์กร 

     จะเห็นว่าการเขียนใบพรรณนาหน้าที่งานหรือใบบรรยายหน้าที่งานนั้นมีความจำเป็นสำหรับงานHRมากทีเดียว ทำให้สรรหาคนได้ตรงตำแหน่ง กำหนดคุณสมบัติในอนาคตที่เกิดขึ้นตาม Career Path รวมไปถึงเมื่อต้องมีการวางระบบประเมินผลทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Competencies,KPIs,OKRs ทำให้สามารถกำหนดPerformance Indicators,Key and Results หรือค่าเป้าหมาย (Target) ได้ง่ายขึ้น

     อย่าลืมกลับไปทบทวน (Revise) JD ทุกครั้ง ทุกรอบปี เมื่อเกิดการเปลี่ยน เพิ่มหรือโยกย้ายหน้าที่งานไปตามแผนกองค์กรที่เปลี่ยนไปตามแผนผังโครงสร้างองค์กร (Organization chart)

      สำคัญที่สุดในการเขียนบรรยายJDคือ เขียนคำอธิบายตามหน้าที่งานไม่ใช่เขียนบรรยายJDตามลักษณะบุคคลนั้นๆ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เพราะผู้เขียนมักพบว่า การเขียน JD ที่เคยให้คำปรึกษามานั้นมักลงรายละเอียดเขียนตามคนมากกว่าตามงาน ทำให้ความสำคัญของ JD จึงมีอยู่และจากไปตามคนตามกาลเวลา…     

วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์


E-Mail : [email protected]

วันที่ : 06 กรกฎาคม 2566

จำนวนผู้เข้าชม 1316 คน

กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line

บทความที่เกี่ยวข้อง


กำหนดตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD

ธุรกิจหรือกิจการ SME ขนาดเล็กไม่มีการจัดทำใบกำหนดหน้าที่งาน อาจไม่สะดวกใช้การ ประเมินผลแบบ BSC เทคนิคง่ายๆ ในการกำหนดตัวชี้วัดผล สำหรับผู้จัดทำ KPI มือใหม่ กำหนด ตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD ทำอย่างไร ?

Feedback 5 ขั้นตอนเพื่อพัฒนาตัวชี้วัด KPI

คุณสมบัติหัวหน้างานที่ดีไม่เพียงแต่จะบริหารทีมงานได้เท่านั้น การให้ฟีดแบ็ก (Feedback) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทีมงาน สร้างคนเก่งในองค์กร (Talent people) ลดอัตราการลาออก (Turnover rate)

อบรม ESB & AIDET Plus แก้ปัญหาการบริการและการสื่อสาร ?

อบรมพฤติกรรมบริการ (ESB) ไปแล้ว การเรียนรู้หลักสูตรเรื่อง AIDET Communications จำเป็นหรือไม่ ? AIDET เนื้อหาการเรียนรู้เรื่องอะไร ? นี่คือคำถามที่ผู้จัดอบรมในคลินิก และโรงพยาบาลหลายแห่ง

ตัวอย่างตัวชี้วัด KPI ตามตำแหน่ง & ปัญหาระยะ Action Plan

ระบบประเมินผล KPI ช่วยทำให้องค์กรคัดเลือกคนเก่งโดยอัตโนมัติ คุมงบประมาณให้อยู่ในกรอบและเพิ่มกลยุทธ์ในการแข่งขัน หากวางระบบการดำเนินการ(Action Plan)ที่ดี ผู้บริหารสูงสุดเห็นความสำคัญ

แนวทางสร้าง Training Needs ก่อนทำ TRM

แบบสอบถาม Training Needs เพื่อสอบถามพนักงานในองค์กร ผลของคำตอบในแบบสอบถามนั้น นำมาเพื่อใช้ประเมินหาหลักสูตรที่จำเป็น (Training Needs) ในการอบรมต่อตำแหน่งงานไม่ใช่หลักสูตรที่ต้องการฝึกอบรม

ทำ CBO แบบ AIDET แก้ปัญหาพฤติกรรมบริการ

การทำ CBO ช่วยพัฒนาแนวทางตามความสามารถได้จริงทุกภาคส่วนการทำงานไม่เฉพาะแต่งานบริการ เพราะการจัดทำ CBO(Competency -Based Orientation) แต่ละประเด็นมีต้นทางมาจากการวางกลยุทธ์ของผู้บริหารองค์กร