ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์ วันที่ : 21 ธันวาคม 2563 จำนวนผู้เข้าชม 452 คน
21 ธันวาคม 2563เตรียมข้อมูลนำเสนอในที่ประชุมอย่างดี พอเอาเข้าจริงตกหล่นไปหลายเรื่อง เซรงเป็ดเลยเรา!! เวลาพูดท่ามกลางมหาชนหมู่มาก ขาดความมั่นใจ ประหม่า ขาสั่น ทุกที ให้ได้อย่างนี้สิช้าน !! อยากพูดให้สนุก มีสาระ เป็นนักพูดกับเค้าบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่เคยถึงฝั่งฝันสักหน !! ต้องบอกว่าอาการดังกล่าวนักพูดหลายคนเคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วนก่อนก้าวมายืนถือไมค์ ไฟส่องหน้า มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมๆกับทักษะนานับประการที่ถูกฝึกฝนมาอย่างมินิมาราธอนแต่ยังเยาว์ ย้อนดูตอนวัยเด็กเราหัดพูดเขียนภาษาไทยได้ ต่อมาครูก็เคี่ยวเข็นด้วยภาษาอังกฤษ ฟุด ฟิด ฟอ ไฟ เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยบางบริษัทก็ปฐมนิเทศอย่างหนักหน่วง ตั้ง Competency , KPIs ซะน้องใหม่แทบร้องไห้หาแม่ เมื่ออยากก้าวหน้าทั้งเงินเดือนและตำแหน่งก็ต้องฝึกบริหารให้เป็น พูดให้ถูกกาละเทศะ มิฉะนั้น ไม่มีใครอยากร่วมทีมทำงานด้วย
อย่าได้หวั่นค่ะ ในตอนนี้คุณมีอาวุธที่คมกริชอยู่กับกาย นั่นคือ คำพูด รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งแน่นอน นักพูดที่ดีคือผู้ที่สามารถสะกดคนฟังด้วยน้ำเสียงและประโยคแรกของคำพูด จำไว้!!! ในงานมอบรางวัลพนักงานดีเด่นประจำปี …สวัสดีค่ะ วันนี้ตื่นเต้นจริงๆที่ได้มาเป็นพิธีกรในงานประกาศมอบรางวัลพนักงานดีเด่นนี้ (บั่นทอนกำลังใจตนเองและสร้างความไม่มั่นใจให้ผู้ฟัง อย่างแรง!!) เปลี่ยนประโยคใหม่เป็น สวัสดีค่ะ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรษ กว่าจะมาถึงค่ำคืนอันทรงเกียรตินี้ต้องบอกว่าคะแนนการคัดเลือกพนักงานของบริษัทเรา “เพชรตัดเพชร” เลยทีเดียว ….จะพูดอย่างไรให้ผู้ฟังประทับใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญกว่าการพูดให้ได้ตามเนื้อหาที่เตรียมมา
ขอแนะนำเทคนิคเบื้องต้น เพื่อให้โดนใจผู้ฟังแบบพอดิบพอดี
1. อ่านบทความ หรือหนังสือ วันละ 1 เรื่อง ฝึกอ่านออกเสียงนะคะ สะกดตัว ร ล ตัวควบกล้ำ ช้าๆชัดๆฝึกทุกวันให้เมื่อยลิ้นกันไปเลยทีเดียว การพูดชัด ฉะฉานถือเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของนักพูดเมื่อเจรจางานใดกับใครเป็นที่ประทับใจในน้ำเสียงที่คมชัด เปิดประชุมกี่ครั้งหัวหน้างานเราหรือผู้บริหารพูดได้ชัดเจนจับใจเหลือเกินต่างกับหัวหน้างานอีกแผนกพูดเบา ค่อย ฟังไม่ได้ศัพท์ ถามว่าเราจะภูมิใจใครมากกว่ากัน ??
2. ฝึกเล่าเรื่อง ระหว่างสนทนาในกลุ่มเพื่อน กลุ่มทีมงาน หรือกลุ่มลูกค้า โดยฝึกลำดับใจความสำคัญของเรื่องง่ายๆคือ ใคร ทำอะไร ที่ไหนและอย่างไร ให้ผู้พูดนึกถึงตอนเราดูละครหรือภาพยนต์มีการดำเนินเรื่องและจบบริบูรณ์อย่างไร หากละครเรื่องนั้นจบแบบให้เรากังขาว่าตกลงจบแล้วหรือนั่น แสดงว่าการเล่าเรื่องไม่ประสบความสำเร็จ ที่สำคัญฝึกเน้นเสียง หนัก เบา สีหน้าไปพร้อมกับน้ำเสียง ที่สำคัญอย่าใส่อารมณ์ถึงพริกถึงขิงมากเพราะจะดูเรา เยอะไป !!!
3. ฝึกใช้คำคม คำพังเพยเปรียบเทียบ ปรัชญาที่เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหาที่พูด ทำให้เราดูเป็นนักพูดที่มีดีกรี ยิ่งนักพูดในเส้นทางวิชาการต้องอ่าน ค้นคว้า วิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศเพื่อนำมาอ้างอิงให้คำพูดมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่าง
• กรณีเราต้องการชื่นชมทีมงาน “แผนกขายเราเสมือนทำงานเข็นครกขึ้นภูเขา แต่น้องๆทุกคนสามารถทำงานที่ยากนี้มาแบบง่ายๆ พี่ชื่นชมพวกเราจากใจจริงๆ”
• กรณี มีการทำงานผิดพลาด อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้กล่าวไว้ว่า “Anyone who has never made a mistake has never tried something new คนที่ไม่เคยผิดพลาดเลยคือคนที่ไม่เคยลองทำอะไรใหม่ๆ” แต่ต้องเรียนรู้จะแก้ไขนะน้องนะ
• ซุนวู ได้กล่าวไว้ว่า “ชมคนด้วยวาจายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ ทำร้ายคนด้วยวาจาสาหัสยิ่งกว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ”
4. ฝึกนำประสบการณ์หรือฝึกยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย หรือที่ผู้สอนเรียก “Case study” แต่ควรระวังการนำแต่ละเรื่องมายกตัวอย่าง ให้จำไว้ว่า ตัวอย่างที่นำมาพูดประกอบที่ดีนั้น ควรมี จุดเด่น 3 จุด คือ 1.ความยาวของเนื้องหาไม่ควรเกิน 5 นาที เพราะหลังจากนั้นความสนใจจะลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง 2.เป็นเรื่องแปลก มีความพลิกผันเหตุการณ์ สอดคล้องกับเนื้อหา หักมุมได้น่าติดตามที่สำคัญเรื่องมีความทันสมัย 3.เป็นเรื่องที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟัง แต่หากกลุ่มผู้ฟังมีความหลากหลายในอายุ ให้นักพูดเลือกใช้เรื่องที่ ปัจจุบันคนกำลังให้ความสนใจอยู่หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบเดือนนั้น
5. ฝึกกิริยา ท่าทางสง่างาม ใช้มือและนิ้วแต่พอดี อย่ากรีดกรายยกมือเกินงามทำให้ผู้ฟังสนใจแต่มือเรามากกว่าเนื้อหาที่พูด หากต้องรับบทบาทวิทยากร ควรมีอารมณ์ขัน มุมสบายๆสอดแทรกให้ผู้ฟังผ่อนคลายและเปิดทรรศนะทางการแสดงความคิดเห็น สิ่งที่นักพูดหลายคนอยากเห็นคือผู้ฟังไม่นั่งหลับตลอดรายการอบรม
สำหรับใครจะพูดยาว พูดสั้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหา ระยะเวลาที่ได้รับในการพูด หลังจากเมื่ออ่านเรื่องนี้จบแล้วให้คุณเริ่มหัดฝึกพูดเสียแต่วันนี้ ไม่แน่ พรุ่งนี้คุณอาจได้รับมอบหมายให้พูดท่ามกลางประชาชนหมู่มาก ยืนอยู่ระหว่างสายตาร้อยคู่ที่จับจ้อง ถ้าไม่เริ่มวันนี้แล้วจะมีความกล้าวันไหน ถึงเวลาแล้วที่คุณจะ “ปล่อยของ” ….
E-Mail : [email protected]
วันที่ : 21 ธันวาคม 2563
จำนวนผู้เข้าชม 452 คน
กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line
กำหนดตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD
ธุรกิจหรือกิจการ SME ขนาดเล็กไม่มีการจัดทำใบกำหนดหน้าที่งาน อาจไม่สะดวกใช้การ ประเมินผลแบบ BSC เทคนิคง่ายๆ ในการกำหนดตัวชี้วัดผล สำหรับผู้จัดทำ KPI มือใหม่ กำหนด ตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD ทำอย่างไร ?
Feedback 5 ขั้นตอนเพื่อพัฒนาตัวชี้วัด KPI
คุณสมบัติหัวหน้างานที่ดีไม่เพียงแต่จะบริหารทีมงานได้เท่านั้น การให้ฟีดแบ็ก (Feedback) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทีมงาน สร้างคนเก่งในองค์กร (Talent people) ลดอัตราการลาออก (Turnover rate)
ตัวอย่างตัวชี้วัด KPI ตามตำแหน่ง & ปัญหาระยะ Action Plan
ระบบประเมินผล KPI ช่วยทำให้องค์กรคัดเลือกคนเก่งโดยอัตโนมัติ คุมงบประมาณให้อยู่ในกรอบและเพิ่มกลยุทธ์ในการแข่งขัน หากวางระบบการดำเนินการ(Action Plan)ที่ดี ผู้บริหารสูงสุดเห็นความสำคัญ
แนวทางสร้าง Training Needs ก่อนทำ TRM
แบบสอบถาม Training Needs เพื่อสอบถามพนักงานในองค์กร ผลของคำตอบในแบบสอบถามนั้น นำมาเพื่อใช้ประเมินหาหลักสูตรที่จำเป็น (Training Needs) ในการอบรมต่อตำแหน่งงานไม่ใช่หลักสูตรที่ต้องการฝึกอบรม
ทำ CBO แบบ AIDET แก้ปัญหาพฤติกรรมบริการ
การทำ CBO ช่วยพัฒนาแนวทางตามความสามารถได้จริงทุกภาคส่วนการทำงานไม่เฉพาะแต่งานบริการ เพราะการจัดทำ CBO(Competency -Based Orientation) แต่ละประเด็นมีต้นทางมาจากการวางกลยุทธ์ของผู้บริหารองค์กร
ความสำคัญ JD ต่องานประเมินผล
อย่าเก็บใบกำหนดหน้าที่งานหรือใบพรรณนางานของพนักงานไว้ในแฟ้มหรือไฟล์แบบไร้การเหลียวแล ต้องหมั่นอัพเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน นำ JD มาใช้ประโยชน์มากกว่าการเก็บไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจสำหรับงานบุคคล