ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์ วันที่ : 08 มีนาคม 2566 จำนวนผู้เข้าชม 533 คน
08 มีนาคม 2566วัคซีนป้องกันโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019) จะใช้ฉีดจริงในประเทศไทย โดยฉีดกลุ่มแรกในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์พื้นที่เสี่ยงสูงสุดก่อนต่อมาจึงจัดสรรตามลำดับ
แน่นอน!! คำถามของใครหลายคนคือ
แล้วคนทั่วไปจะได้มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนนี้เมื่อไร ?
เราจะได้ใช้วัคซีนของบริษัทอะไร ?
โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งประกาศมีความความพร้อมในการจัดหา นำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด มาเพื่อให้บริการกลุ่มลูกค้าแฟนคลับประจำของโรงพยาบาล แต่แล้วต้องแตะเบรกรอไว้ก่อนด้วยรายละเอียดหลายๆประเด็นทั้งประเด็นข้อกฎหมายที่ข้องเกี่ยวด้านวัคซีนฉุกเฉิน ประสิทธิภาพวัคซีน ระยะการวิจัยทดลอง
รวมถึงการนำเข้าวัคซีนต้องได้รับการยื่นรับรองจาก อย. พร้อมเอกสารการวิจัย ทดลองอื่นๆในเนื้อหารายละเอียดชี้แจงจากบริษัทต้นสังกัดผู้ผลิตวัคซีนซึ่งทราบว่าแตะหมื่นหน้าทีเดียว แต่ที่แน่นอนคืออย่างไรทางภาครัฐบาลต้องดำเนินการนำเข้ามาเพื่อใช้ในการฉีดป้องกันแน่นอน ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนหลายๆประการ
ก่อนอื่นเราควรทราบก่อนการตัดสินใจเลือกรับบริการ ว่าวัคซีนที่ผลิตแต่ละแบรนด์นั้น มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร
ข้อดีข้อเสียของวัคซีนในแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ณ ปัจจุบันในสถานการณ์สภาวะฉุกเฉินช่วงมีการแพร่ระบาดโควิด มีการทดลองวัคซีนแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1. วัคซีนชนิด mRNA (Messenger ribonucleic acid) เป็นวัคซีนที่ห่อหุ้มด้วย Lipid nanoparticle ฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อโปรตีนที่สร้างออกมาจะเป็นแอนติเจนไปกระตุ้นร่างกายสร้างแอนติบอดีเป็นภูมิต้านทานต่อโรคโควิด 19 ตัวอย่างเช่นวัคซีนจากสหรัฐฯ บริษัท Pfizer,Moderna
ข้อดี : วัคซีนชนิดนี้สร้างภูมิต้านทานได้สูง
ข้อเสีย : มีอาการข้างเคียงจากผู้ได้รับวัคซีนแล้ว เช่นอาการไข้ ปวดเมื่อยครั่นเนื้อตัว
ในระยะยาวต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติม
2. วัคซีนชนิดไวรัส Vector เป็นวัคซีนที่นำสารพันธุกรรมไวรัสเข้าไปไว้ในไวรัสที่เป็นVector เพื่อให้ไวรัสVectorส่งสารพันธุกรรมโควิดเข้าไปในเซลล์มนุษย์ เข้าไปถอดรูปพันธุกรรม มีการเข้าไปในนิวเคลียสลอกแบบและเปลี่ยนmRNA ออกมาในไซโทพลาสซึม mRNAเข้าไปในไลโบโซมสร้างโปรตีนส่งผ่านนอกเซลล์ เพื่อสร้างแอนติเจนกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต้านทานโรคโควิด 19 ตัวอย่างเช่นวัคซีนจากอังกฤษ บริษัท AstraZineca , จากรัฐเซีย Spuknic V
(อ้างอิงข้อมูล From Wikipedia https://en.wikipedia.org/wiki/Cell_cycle )
ข้อดี: วัคซีนชนิดนี้เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศา ราคาถูก
ด้วยที่วัคซีนนี้เป็นการทดลองวัคซีนชนิดใหม่ ซึ่งในขั้นตอนการผ่านนิวเคลียสของเซลล์ ยังไม่ทราบว่าจะมีการรวมตัวกับนิวเคลียสของเซลล์หรือไม่ ต้องศึกษา ติดตามผลต่อไปในระยะยาว
3. วัคซีนชนิดเชื้อตาย เป็นวัคซีนที่ใช้หลักการทำงานเช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ วัคซีนป้องกันโปลิโอ วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า เป็นต้น ทำการเพาะเลี้ยงบน Vero cell เมื่อเพาะได้จำนวนมากจึงนำมาทำลายฆ่าเชื้อให้ตาย แล้วนำมา Formulation ใส่สารกระตุ้นภูมิต้านทาน ตัวอย่างเช่นวัคซีนจากประเทศจีนเช่น Sinovac,Sinopharm
ข้อดี : ปลอดภัยสำหรับคนภูมิต้านทานต่ำเหมาะสำหรับคนมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อจะไม่ไปกระตุ้นภูมิต้านทานไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง
ข้อเสีย : ผลิตได้ครั้งละไม่มาก ต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากต้องเพาะเชื้อในห้องชีวนิรภัยระดับสูง
ในวันข้างหน้าปลายปีหรือปีถัดไป หากประชาชนสามารถเลือกรับการฉีดวัคซีนได้ตามโรงพยาบาลเอกชน ที่เขาเลือก ก็เป็นจุดดีข้อหนึ่งทำให้เกิดช่องทางการเลือกรับบริการที่หลากหลาย ไม่แออัดรับบริการเฉพาะโรงพยาบาลภาครัฐ เพราะแค่ลำพังรับดูแลรักษาพยาบาลโรคทั่วไปงานนี้โรงพยาบาลรัฐบาลก็เหนื่อยมากโขพอตัวอยู่แล้ว จะต้องมารับบริการฉีดวัคซีนอีก!!
คำถาม คือ…แล้วราคาวัคซีนของโรงพยาบาลเอกชนจะพุ่งสูงลิ่วไหม? ในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อเป็นแฟนคลับพันธุ์แท้ 90 % ขึ้นไปของโรงพยาบาลคงไม่หวั่นไหวสะทกสะท้าน แต่ในกลุ่ม % ประชาชนผู้สนใจทั่วไปจะจ่ายสูงไหวไหม ?
คำตอบ คือ ถึงวาระนั้น ราคาค่าบริการคงแปรผันไปตามกลไกทางการตลาดแน่นอน !
นั่นคือ ถ้าปริมาณวัคซีนน้อย ประชาชนต้องการมากราคาย่อมสูงแต่ขณะนั้นถ้าปริมาณวัคซีนมาก ต้องการมากการแข่งขันทางราคาไม่น่าต่างกันมากเท่าไร ? ต้องแข่งขันทางราคาและวัดกันด้วยระดับความพึงพอใจต่อพฤติกรรมการบริการ (Excellence Service Behaviors :ESB)
เรื่องการบริการนี้สำคัญ!! ทำให้ผู้อุปโภคบริโภคมีอำนาจในการตัดสินใจได้เร็วขึ้น ต่อให้ราคาสูงแค่ไหนแต่บริการดีประทับใจเสมอมา ย่อมธำรงรักษาลูกค้าเดิม (Brand Loyalty) ไว้ได้ ดังนั้น การแข่งขันทางการตลาดในสถานการณ์ฉุกเฉินปัจจุบัน อย่าเพิกเฉยต่อการติดตามกระตุ้นอบรมพฤติกรรมการบริการเชิงบวกซึ่งส่งผลเพิ่มและลดผู้รับบริการไปเป็น FC คู่แข่งโดยไม่รู้ตัว
E-Mail : [email protected]
วันที่ : 08 มีนาคม 2566
จำนวนผู้เข้าชม 533 คน
กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line
อบรม ESB & AIDET Plus แก้ปัญหาการบริการและการสื่อสาร ?
อบรมพฤติกรรมบริการ (ESB) ไปแล้ว การเรียนรู้หลักสูตรเรื่อง AIDET Communications จำเป็นหรือไม่ ? AIDET เนื้อหาการเรียนรู้เรื่องอะไร ? นี่คือคำถามที่ผู้จัดอบรมในคลินิก และโรงพยาบาลหลายแห่ง
ทฤษฎีตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์และการบริการ
การเลือกใช้สินค้า และบริการนั้นเกิดจากการเรียนรู้ของผู้เลือกใช้ อาจมาจากข้อมูลสื่อโฆษณาในช่องทางต่างๆ ประสบการณ์คำบอกเล่า ประสบการณ์ตรงที่ได้รับมาจากผู้ใช้บริการ
พฤติกรรมบริการต่อลูกค้าทั่วไป คลินิก โรงพยาบาล
การบริการไม่ใช่สินค้าที่สามารถคงรูปรส กลิ่น เสียงได้เมื่อเปลี่ยนผู้ให้บริการพฤติกรรมการส่งมอบบริการอาจเปลี่ยนไปตามลักษณะของบุคคลนั้น สิ่งที่ทำให้พฤติกรรมการบริการคงที่คงอยู่นั้นคือ การสร้าง Empathy
การสื่อสารแบบ AIDET Plus ทุกแผนกในโรงพยาบาลทำอย่างไร ?
ในอดีตผู้ปฏิบัติงานมีหน้าที่ปฏิบัติงานตามหลักใบกำหนดหน้าที่งาน (Job Descriptions) โดยปฏิบัติงานแต่ละหน้าที่ตามขั้นตอนงาน (Work Instruction) ที่จัดทำขึ้นมาจากมาตรฐานของแต่ละวิชาชีพตามหลักการความปลอดภัย
ความคาดหวังผู้รับบริการ 6 แบบ
อันดับแรกที่ผู้รับบริการทุกคนคาดหวังแน่นอนคือความสะดวกสบาย ความรวดเร็วปลอดภัย ความมั่นใจในการได้รับบริการ ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้รับบริการคาดหวังนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของลูกค้าผู้รับบริการ
Human Touch In Healthcare ด้วย Touching & Feeling
Human Touch ถูกพูดถึงในการดูแลรักษาสุขภาพ มุมมองการมีจิตบริการมานาน ควบคู่กับคำว่า Empathy (การเอาใจใส่) ซึ่งหากพูดถึงแง่การลงมือปฏิบัติงาน Human Touch มีแนวทางนำไปใช้ได้อย่างไร ?