หน้าแรก หน้ารวมบทความ วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงาน

วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงาน


ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์   วันที่ :   จำนวนผู้เข้าชม 904 คน

กด Like กด Share บทความให้เพื่อน

Facebook Twitter Line

    “วิธีการประเมินผลเป็นขั้นตอนสำคัญมาก อยู่ในช่วงท้ายสุดก่อนการรับทราบข้อมูล ตัวเลขความสำเร็จในการจัดทำการประเมินผล สามารถทำได้หลายวิธีและมีรูปแบบการประเมินที่ออกแบบแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับองค์กรที่จัดทำให้เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ควรซับซ้อนหรือเข้าใจยากเกินไป สำคัญที่สุดคือผู้ใช้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ข้อมูลที่สรุปออกมาเกิดการนำไปใช้ขับเคลื่อนทรัพยากรบุคคลและองค์กร”  …

     Decenzo and Robbins (2010) ได้จำแนก วิธีประเมินผลเป็น 3 แบบ ดังนี้

      1. วิธีมาตรฐานสมบูรณ์

          : ใช้ประเมินผลการปฏิบัติงานเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น  เหมาะสำหรับกลุ่มข้อมูลจำนวนมากหรือผลลัพธ์ที่ได้บางส่วนเชิงพฤติกรรม นิยมใช้กันในปัจจุบันหลายรูปแบบ แบ่งเป็น 6 วิธีคือ

  • วิธีประเมินแบบบรรยาย(Essay Appraisal)
  • วิธีประเมินแบบเน้นเหตุการณ์สำคัญหรือภาวะวิกฤติ (The Critical Incidents Method)
  • วิธีประเมินแบบตรวจทาน (Checklist)
  • วิธีประเมินรูปแบบกราฟ (Graphic Rating Scale)
  • วิธีประเมินแบบเน้นพฤติกรรม (Behaviorally Anchored Rating Scales )
  • วิธีประเมินแบบบังคับเลือก (Forced Choice )

 

     2. วิธีมาตรฐานสัมพันธ์

          : ใช้การประเมินผลแบบเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น  วิธีการนี้เหมาะสำหรับกลุ่มที่มีความคล้ายคลึงกันหรือต้องการผลลัพธ์เฉพาะเจาะจงจำนวนจำกัด แบ่งเป็น 4 วิธีคือ

  • การจัดเรียงลำดับบุคคล (Individual Ranking)
  • การจัดเรียงลำดับกลุ่ม (Group Ranking)
  • การเปรียบเทียบเป็นคู่ (Paired Comparison)
  • การบังคับการกระจายผล (Force Distribution)

 

     3. วิธีประเมินผลตามวัตถุประสงค์

         : เป็นการประเมินผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เรียกว่า MBO (Management By Objective Methods) ได้รับความนิยมครั้งแรกในปี 1954 จากหนังสือเรื่อง The Practice of Management ของ Peter Drucker 

      วิธีการประเมินแบบนี้เน้นการเชื่อมโยงนโยบาย ภารกิจและเป้าหมายองค์กร ให้ทุกคนในองค์กรมองเห็นวัตถุประสงค์ภาพรวมร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว องค์กรที่มีสำนักงานใหญ่ มีสาขาย่อยจำนวนมากหรือสาขากระจายตัวอยู่หลายประเทศมีสินค้าบริการแบบเดียวกัน นิยมการประเมินแบบนี้ซึ่งง่ายต่อการสรุปรวมนำเสนอข้อมูล เห็นภาพรวมชัดเจน เรียก “ประเมินผลตามวัตถุประสงค์ของ Headquarters”

     การลงความเห็นในการเลือกใช้วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานแบบใดนั้น ไม่ควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเฉพาะบุคคล มีการปรับเปลี่ยนวิธีการได้เมื่อผ่านพ้นการประเมินในรอบปีนั้นไปแล้ว 

ควรคำนึงถึง ปัจจัยในการเลือกวิธีการประเมิน 5 ข้อ คือ

  1. นโยบายเป้าหมายการพัฒนาองค์กร
  2. ฐานข้อมูลประชากรพนักงานในองค์กร
  3. ฐานข้อมูลเดิมที่ใช้ในการกำหนดค่าเป้าหมาย
  4. เทคโนโลยีความพร้อมด้านเชื่อมต่อข้อมูล
  5. รูปแบบแบบประเมิน เช่นวัดผลด้าน Performance วัดผลด้านขีดสมรรถนะความสามารถ วัดผลด้าน Time Attendance
วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์


E-Mail : [email protected]

วันที่ : 12 กรกฎาคม 2566

จำนวนผู้เข้าชม 904 คน

กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line

บทความที่เกี่ยวข้อง


ใช้ทฤษฎีมาสโลว์สร้างแรงจูงใจ

เพิ่มแรงจูงใจสำหรับพนักงานในองค์กรโดยใช้เฟรมเวิร์ก ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของอับราฮัม มาสโลว์” เข้ามาเป็นแนวทางการพัฒนาบุคลากร โดยแนวคิดลำดับความต้องการของมนุษย์แบ่งเป็นความต้องการ 5 ขั้น

หลักการทำงานแบบ Teamwork

กิจกรรม OD อาจไม่ใช่การแก้ไขที่สาเหตุแบบยั่งยืนหรือไม่ ? เมื่อองค์กรพบปัญหาสมาชิกในองค์กรขาดความสามัคคีจึงมองหาการจัดกิจกรรม OD นอกสถานที่ ทั้งกิจกรรม Teamwork หรือกิจกรรม Teambuilding

วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงาน

วิธีการประเมินผลเป็นขั้นตอนสำคัญมาก อยู่ในช่วงท้ายสุดก่อนการรับทราบข้อมูล ตัวเลขความสำเร็จในการจัดทำการประเมินผล สามารถทำได้หลายวิธีและมีรูปแบบการประเมินที่ออกแบบแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับองค์กร

Competency มีประโยชน์ต่อองค์กร?

การจัดทำขีดสมรรถนะความสามารถแบบ Competency มีประโยชน์ทั้งด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลและการพัฒนารูปแบบองค์กรให้มีประสิทธิภาพเท่าทันสถานการณ์ การมุ่งหมายบริหารบุคลากรไปที่การประเมินผลปฏิบัติงาน

ตัวอย่างวิธีกำหนดเป้าหมาย (Target) KPIs

ในการเขียนดัชนีชี้วัดผลงานหลัก(Key Performance Indicators) 1 ตัวชี้วัดทั้งระดับหน่วยงาน(Unit/Department KPI)และรายบุคคล(Individual KPI)นั้น มีองค์ประกอบในการเขียนหลายข้อเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้รับมีความ

Training Road Map ให้มีประสิทธิภาพ

สำหรับองค์กรขนาดเล็ก กลางและใหญ่ ที่กำลังมองหาทิศทางการพัฒนาและเพิ่มพูนคุณภาพทุนมนุษย์ลดต้นทุนการผลิตใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เรียกว่า “SAVE” ทุกปัจจัยให้มีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผลสูงสุด