ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์ วันที่ : 02 กันยายน 2566 จำนวนผู้เข้าชม 2550 คน
02 กันยายน 2566“นอกจากการให้สวัสดิการที่ดี การขึ้นเงินเดือนเลื่อนขั้น การมีโบนัสปลายปีอาจไม่ได้ตอบโจทย์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานสำหรับทุกคน องค์กรที่ต้องการธำรงรักษาคนเก่ง คนมีฝีมือไว้ได้ องค์กรวางกลยุทธ์การจูงใจผู้ปฏิบัติงานเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ ?”
ผู้เขียนได้เขียนบทความเรื่อง How to Rewards ไว้หลายปีก่อนเกี่ยวกับเนื้อหาหลักการให้รางวัลจูงใจทั้งเชิงบวกเชิงลบหรือการจูงใจแบบไม่มีของรางวัลตอบแทนแล้ว
บทความนี้ ตั้งใจเขียนเรื่อง “กลยุทธ์การจูงใจพนักงาน” เนื่องจากมีคำถามจากเพื่อนและเจ้าของธุรกิจบ่อยครั้งมาก … “เด็กสมัยนี้ รับเข้ามาทำงานอยู่ไม่ทนไม่เกินปีลาออกกันหมด เพราะอะไร ?”
เมื่อผู้เขียนตั้งคำถามว่า “ตอนลาออกเขาแจ้งฝ่ายบุคคลสาเหตุลาออกเพราะอะไร ?” สาเหตุการลาออกที่หลากหลายมากๆในรายละเอียดExit Interviews …
|
ทำอย่างไร ? ให้องค์กรมีบุคลากรเข้ามาทำงานพร้อมเติบโตก้าวหน้าไปพร้อมกัน มีวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันอยู่อย่างสันติไม่ใช่ที่ทำงานคือสนามรบ
เมื่อเริ่มฝึกฝนให้แต่ละบุคคลเก่ง เชี่ยวชาญในงานนั้นๆ สามารถเป็นกำลังสำคัญต่อยอดการทำงาน เป็นพี่เลี้ยงที่ดีสำหรับน้องใหม่ สิ่งเหล่านี้องค์กรต้องเริ่มปลูกฝังจากการเริ่มทำ “กลยุทธ์การจูงใจพนักงาน (Strategies for Motivating Employees) 4 กลยุทธ์” นี้ เป็นอันดับแรกๆของการวางแผนการบริหารงานพัฒนาบุคลากร (People Development Planning)
ในปี 1966 นักจิตวิทยาทั้ง 2 ท่านคือ Daniel Katz และ Robert L.Kahn ได้เขียนหนังสือเรื่อง The Social Psychology of Organizations วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานและการจัดการองค์การไว้ อย่างน่าสนใจสามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนาองค์กรได้ในปัจจุบัน
ในเรื่องของการสร้าง “กลยุทธ์การจูงใจพนักงาน” มี 4 แบบหรือ 4S คือ
1. กลยุทธ์ทำตามกฎหมาย (Legal Compliance Strategy)
: เป็นกลยุทธ์แนวการให้คำสั่ง โดยยึดกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับเป็นที่ตั้ง ช่วยให้ทุกคนมีความเข้าใจตรงกัน ผลักดันให้การปฏิบัติงานความประพฤติอยู่ในกรอบที่องค์กรกำหนด โดยมีพื้นฐานรายละเอียดตรงตามตัวบทกฎหมายกำหนด เช่น การมีข้อกำหนดกฎระเบียบเวลาการมาทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์คิดเป็น 7 ชั่วโมงต่อวัน การลาป่วยกรณีลาป่วยเกิน 2 วันต้องมีใบรับรองแพทย์แนบ การลากิจให้ลาได้ 3 วันต่อปี เป็นต้น
การใช้กลยุทธ์ในข้อนี้ถือเป็นมติที่องค์กำหนดขึ้น ควรกำหนดโดยใช้เกณฑ์กฎหมายแรงงานเป็นต้นแบบที่ถูกต้อง เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน พนักงานทำงานร่วมกันตามบทบาทหน้าที่แต่ไม่สามารถกระตุ้นส่งเสริมให้พนักงานเกิดความรู้สึกรักในองค์กรได้ เมื่อพนักงานเกิดการขัดแย้งในสิทธิ์ที่มี อาจลุกลามทำให้เกิดความขัดแย้ง ขาดกำลังใจในการทำงาน ตัดสินใจลาออกได้
2. กลยุทธ์การให้รางวัล (Instrumental rewards Strategy)
: ใช้รางวัลเป็นเครื่องมือกระตุ้นความกระตือรือร้น ความตั้งใจในการทำงาน ความสุขในการทำงาน แบ่งการให้รางวัลเป็น 3 ลักษณะ คือ
2.1) ให้รางวัลตามผลงาน(Performance Rewards) เช่นมีการทำระบบบริหารประเมินผลงานแบบKPIs(Key Performance Indicators)และนำผลประเมินนั้นมาใช้ในการขึ้นเงินเดือน การเลื่อนขั้นเงินเดือน การให้โบนัส
2.2) ให้รางวัลในภาวะผู้นำ (Considerate Leadership) เช่น การทำแบบประเมินสมรรถนะความสามารถด้านการบริหารจัดการใช้ผลการประเมินนั้นเพื่อเลื่อนระดับตำแหน่ง ผู้บังคับบัญชาให้คำชื่นชมส่งเสริมหน้าที่งาน
2.3) ให้รางวัลการยอมรับของกลุ่ม (Group Acceptance) เช่น การตั้งสมาคม สโมสร หรือคลับ (Club) สมาชิกที่เข้ามามีการทำกิจกรรมร่วมกัน ได้รับการยอมรับช่วยเหลือ ยกย่องซึ่งกันและกันในกลุ่ม
3. กลยุทธ์การระบุงาน(Job Identification Strategy)
: คือการให้รางวัลแบบกระตุ้นศักยภาพความสามารถ มอบหมายงานให้พนักงานได้แสดงความสามารถ มีอิสระในการแสดงความคิดเห็นในการทำงาน เช่น มอบหมายโครงการพัฒนาคุณภาพบริการให้กลุ่มหัวหน้างานพยาบาลนำเสนอและดำเนินงานในแต่ละแผนกของโรงพยาบาล หรือมอบหมายให้พนักงานที่อายุการทำงานมากกว่า 5 ปีขึ้นไปเป็นพี่เลี้ยงให้แก่พนักงานใหม่โดยมีหน้าที่สอน ให้คำแนะนำ ช่วยแก้ปัญหาระหว่างที่พนักงานใหม่อยู่ในช่วงทดลองงาน3 เดือน เป็นต้น
4. กลยุทธ์การตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกัน(Goal Congruence Strategy)
: กลยุทธ์ในข้อนี้ถือเป็นการจูงใจที่ดีองค์กรมีผลสัมฤทธิ์ ทำให้เกิดการรักในองค์กรอย่างยั่งยืน เป็นกลยุทธ์ที่องค์กรตั้งเป้าหมาย(Target)และค่านิยมองค์กร (Core Value) และเลือกคัดสรรพนักงานมาปฏิบัติงานตามคุณลักษณะนั้น เช่น มีจิตบริการ (Service Mind) มีความเอาใจใส่เห็นใจ (Empathy) และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ (Responsibility)
ข้อนี้ค่อนข้างทำได้ยาก มีการคัดกรองหลายขั้นตอน พร้อมมีปัจจัยทางอุดมคติบุคลิกภาพภายในที่ต้องทดสอบ(Test) เช่น ทดสอบเรื่องจิตวิทยาการบริการ ทดสอบเรื่องบุคลิกภาพ
แต่หากสามารถดำเนินการวางกลยุทธ์ข้อนี้แต่แรกเริ่มเสมือนบันไดขั้นแรกในการวางตำแหน่งคนได้ตรงกับงานตรงใจองค์กร บุคคลที่ผ่านการคัดเลือกจากการวางกลยุทธ์การจูงใจเหล่านี้จะสามารถทำงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่องค์กรคาดหวัง มีทัศนคติที่ดี สร้างวัฒนธรรมการรักองค์กรอย่างเจ้าของต่อไป
จากบทความข้างต้นที่เขียนมา หลายองค์กรได้นำกลยุทธ์แต่ละแบบไปใช้ในการดำเนินงานแล้วแต่ยังขาดการติดตามอย่างต่อเนื่อง ผู้เขียนเสนอแนะว่าให้นำกลยุทธ์สร้างแรงจูงใจ 4S นี้เขียนลงในแผน TRM (Training RoadMap) ทั้งพนักงานเก่าพนักงานใหม่ โดยนำกลยุทธ์ข้อที่ 4 Goal Congruence Strategy เขียนลงในแผนพัฒนาบุคลากรสำหรับปฐมนิเทศพนักงานใหม่ แนบไว้ในใบสัมภาษณ์การคัดเลือกบุคคล ช่วยสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ปลูกต้นกล้าให้เจริญเติบโตในอนาคต ตามที่องค์กรคาดหวัง
E-Mail : [email protected]
วันที่ : 02 กันยายน 2566
จำนวนผู้เข้าชม 2550 คน
กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line
กำหนดตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD
ธุรกิจหรือกิจการ SME ขนาดเล็กไม่มีการจัดทำใบกำหนดหน้าที่งาน อาจไม่สะดวกใช้การ ประเมินผลแบบ BSC เทคนิคง่ายๆ ในการกำหนดตัวชี้วัดผล สำหรับผู้จัดทำ KPI มือใหม่ กำหนด ตัวชี้วัด KPI แบบไม่มี JD ทำอย่างไร ?
Feedback 5 ขั้นตอนเพื่อพัฒนาตัวชี้วัด KPI
คุณสมบัติหัวหน้างานที่ดีไม่เพียงแต่จะบริหารทีมงานได้เท่านั้น การให้ฟีดแบ็ก (Feedback) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทีมงาน สร้างคนเก่งในองค์กร (Talent people) ลดอัตราการลาออก (Turnover rate)
อบรม ESB & AIDET Plus แก้ปัญหาการบริการและการสื่อสาร ?
อบรมพฤติกรรมบริการ (ESB) ไปแล้ว การเรียนรู้หลักสูตรเรื่อง AIDET Communications จำเป็นหรือไม่ ? AIDET เนื้อหาการเรียนรู้เรื่องอะไร ? นี่คือคำถามที่ผู้จัดอบรมในคลินิก และโรงพยาบาลหลายแห่ง
ทฤษฎีตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์และการบริการ
การเลือกใช้สินค้า และบริการนั้นเกิดจากการเรียนรู้ของผู้เลือกใช้ อาจมาจากข้อมูลสื่อโฆษณาในช่องทางต่างๆ ประสบการณ์คำบอกเล่า ประสบการณ์ตรงที่ได้รับมาจากผู้ใช้บริการ
พฤติกรรมบริการต่อลูกค้าทั่วไป คลินิก โรงพยาบาล
การบริการไม่ใช่สินค้าที่สามารถคงรูปรส กลิ่น เสียงได้เมื่อเปลี่ยนผู้ให้บริการพฤติกรรมการส่งมอบบริการอาจเปลี่ยนไปตามลักษณะของบุคคลนั้น สิ่งที่ทำให้พฤติกรรมการบริการคงที่คงอยู่นั้นคือ การสร้าง Empathy
ความคาดหวังผู้รับบริการ 6 แบบ
อันดับแรกที่ผู้รับบริการทุกคนคาดหวังแน่นอนคือความสะดวกสบาย ความรวดเร็วปลอดภัย ความมั่นใจในการได้รับบริการ ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้รับบริการคาดหวังนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของลูกค้าผู้รับบริการ