ผู้เขียน : อาจารย์ วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์ วันที่ : 08 มีนาคม 2566 จำนวนผู้เข้าชม 26921 คน
08 มีนาคม 2566“หัวใจของการสื่อสารคือการส่งมอบ” นั่นหมายถึงทุกครั้งที่ท่านจะสื่อสารไม่ว่าช่องทางใด เท่ากับได้ส่งมอบของขวัญที่ล้ำค่าให้ผู้รับในวินาทีนั้น แต่หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาอาจทำให้ใครบางคน พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการส่งมอบนั้นไปอย่างน่าเสียดาย
คนพูดดีสื่อสารได้ใจความไม่จำเป็นคนเรียนเก่ง พูดเก่งเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับการเลือก เครื่องมือ (Tools) ในการสื่อสารได้ตรงใจตรงคนมากกว่า
ผู้นำที่ทรงอิทธิพลขององค์กร ประเทศชาติ นานาประเทศจึงใช้โอกาสการสื่อสารสร้างสัมพันธภาพ การรับรู้ การเข้าใจด้วยการสื่อสารที่ทรงพลังส่งต่อสร้างมิตรภาพ แต่ผู้นำบางส่วนก็ใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือทำลายความศรัทธาเชื่อถือ เชือดเฉือน ติเตียนภูมิหลังผู้คน บ่อนทำลายความรู้สึกฝ่ายตรงกันข้ามอย่างไร้ “ภาวะผู้นำ”
หากท่านได้อ่านบทความนี้ถือเป็นโอกาสดี ได้เรียนรู้กลวิธีปรับนิสัยการสื่อสารให้ทรงพลังสร้างเสน่ห์ชวนมอง ไม่ว่าท่านอยู่ในการงานหน้าที่อาชีพระดับใด นักธุรกิจ ผู้จัดการ หัวหน้างาน นักขาย พ่อค้า ครู เจ้าของกิจการ คุณคือ “นักสื่อสารที่ทรงพลัง” ไม่ใช่เรื่องยาก !!
How to The Effective Communication ?
การสื่อสารที่ทรงพลังทำอย่างไรกัน ?
คำตอบคือ “สื่อสารเป็น” …
สื่อสารเป็นหมายถึงเลือกใช้เทคนิคการสื่อสารทั้ง คำพูด ท่าทาง คุณลักษณะ ได้ตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดย ทุกๆการสื่อสารสนทนาให้ความสำคัญกับบุคคลที่สนทนาด้วยอย่างจริงใจ
การส่งมอบทั้งรอยยิ้ม คำพูดการกระทำเกิดจากภายในสู่ภายนอก (Inner to Outer)
การสื่อสารจากภายในนั้นต้องแสดงมาจากพฤติพิสัย นิสัยและพฤติกรรมภายในของบุคคล เป็นทั้งพรสวรรค์และพรแสวงที่สามารถสร้างฝึกฝนได้
นักสื่อสารที่ทรงพลังมีนิสัย 10 ข้อ ดังนี้ …
ชอบอ่านชอบการศึกษาหาความรู้ในแขนงวิชาที่หลากหลาย ไม่เลือกอ่านหนังสือเฉพาะเรื่องซุบซิบทางสังคม แวดวงบันเทิง ชอบอ่านประเภทเชิงสร้างสรรค์เช่น ประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ กีฬา พัฒนาความคิด พัฒนาตนเอง ความรู้ด้านภาษา เป็นต้น
ไม่จำกัดการเรียนรู้แค่ในห้องเรียน(Classroom learning) ชอบการอบรมสัมมนาเปิดมุมมอง ช่วยทำให้มีข้อมูลในการสื่อสารรอบด้าน สนทนาได้หลากหลายบุคคล มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สังเกตว่านักอ่านที่ดีมักจดบันทึกรายละเอียดข้อมูลที่พบเจอเสมอ
2. จดจำชื่อได้
สามารถจดจำชื่อผู้ที่สนทนาด้วยได้ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปี รวมถึงจดจำสิ่งแวดล้อมรอบตัว ชื่อบุคคลในครอบครัว ชื่อสัตว์เลี้ยง เมนูอาหารที่ชอบ ข้อนี้ถือเป็นเสน่ห์สำคัญให้ผู้สื่อสารน่าสนใจสร้างความประทับใจแก่คู่สนใจ Wow! Wow!
การจดจำจึงต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะในการจำบุคคล สิ่งแวดล้อม ถึงขนาดในต่างประเทศมีคอร์สอบรมสัมมนาเรื่อง เทคนิคการจดจำ เพราะความรู้ที่ได้รับใช้ในเชิงการสืบสวน การเรียนในมหาลัย การทำธุรกิจ บริการและโรงแรม
3. เริ่มต้นด้วยท่าทาง
หมายถึงการเริ่มต้นก่อนการสื่อสารทั้งทางตรงทางอ้อม ด้วยท่าทางเปิดรับก่อน เช่นคนไทยเมื่อรู้จักครั้งแรกทักทายโดยการสวัสดีหรือยกมือไหว้ตามระดับอาวุโส ส่วนคนต่างชาติทักทายโดยการจับมือหรือแนบแก้ม แต่ในกรณีที่ต้องสื่อสารท่ามกลางสาธารณะชนหมู่มาก ท่านจะสังเกตว่าการเปิดท่าทางทักทายเช่น ยิ้มกว้าง360องศา ยกมือข้างใดข้างหนึ่งผายกว้างออก ค้อมตัวเล็กน้อยทักทาย มือสองข้างกุมแนบบริเวณตำแหน่งหัวใจแนบทรวงอก เหล่านี้คือท่าทางเริ่มต้นให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย ผู้พูดเป็นมิตร
4. เอาใจใส่รอบข้าง
นักสนทนาระดับโลกเวลาขึ้นพูดบนเวที ลานสายตามองรอบข้างแบบ 360 องศา ทุกมุมที่มีผู้ฟังนั่งอยู่เพื่อส่งสัญญาณให้ผู้รับฟังทราบว่าเขาสนใจทุกคนเท่าเทียมกัน ซึ่งการใช้ลานสายตามองนั้นไม่มองผู้ฟังด้วยหางตาหรือชายตามองแค่ครึ่งตา ให้ความใส่ใจมองตรงกลางด้านหน้าที่พูด มองด้านขวา มองด้านซ้าย และอาจเดินเคลื่อนที่ไปใกล้ผู้ฟังเพื่อลดช่องว่างระยะห่าง
เว้นเสียแต่ในช่วง Social Distancing ที่ทุกคนต้องรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลมากกว่า 2 เมตร เป็นระยะปลอดภัยจากโควิด (Covid19)
5. สนใจทุกคน
นักสื่อสารที่ดีต้องสนใจผู้ฟังทุกคนที่อยู่รอบข้าง ให้ความสำคัญกับปฏิกิริยาการตอบสนองผู้ฟังรวมถึงการแสดงการยอมรับรับฟัง ต้องเตรียมข้อมูลการพูดเดาใจกลุ่มผู้ฟังก่อนว่าเขาต้องการอะไร เมื่อดำเนินการสนทนาไปได้ไม่เกิน 5 นาทีแรก ผู้สื่อสารที่ดีต้องสร้างจุดสนใจ(Key Points)ให้ได้เพื่อดึงดูดการนำเสนอ การฟังให้ครบประเด็น ดังนั้นการให้ความสนใจกับทุกคนไม่ได้หมายถึงการมองด้วยสายตา การสื่อสารถามตอบแต่รวมไปถึงการแปลความหมายบุคลิกภาพภายนอกภายในของผู้ฟังเพื่อนักสื่อสารจะได้แก้ไขตรงประเด็นที่ผู้ฟังกำลังสงสัยต้องการคำตอบ
6. ชอบแสดงออก
การแสดงออกในที่นี้ไม่ใช่การโอ้อวด นำเสนอเฉพาะจุดที่ผู้สื่อสารต้องการนำเสนอ แต่หมายถึงการแสดงออกด้านความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ คำชี้แจงที่รวมไปถึงประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานาน เพื่อแชร์องค์ความรู้แก่ผู้ร่วมสนทนาด้วย ข้อดีคือทำให้ผู้ร่วมสนทนาเกิดความเชื่อมั่นสร้างจุดสนใจ เรียกความศรัทธาได้ดี อีกทั้งเป็นการเชื่อมมิตรภาพในระยะยาว
7. ตั้งคำถาม
การตั้งคำถามนั้นไม่ได้ใช้เฉพาะให้ผู้ฟังที่สงสัยถาม แต่นักสื่อสารที่ดีต้องฝึกตั้งคำถามปลายเปิดชี้ชวนให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมในการสนทนาเชิงสร้างสรรค์เพื่อเปิดโอกาสด้านการพัฒนาความคิดเห็นแบบ “Growth Mindset” โดยเฉลี่ยการสนทนากลุ่มใหญ่ระยะเวลาใน 1 ชั่วโมงไม่ควรถามคำถามเกิน 2 ข้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่สื่อสารด้วยว่าเป็นการสอนเชิงทดสอบความรู้หรือการกล่าวสุนทรพจน์ทั่วไป กรณีการสื่อสารในที่สาธารณะจะเน้นการโยนคำถามไปที่กลุ่มผู้ฟังไม่เกิน 2 คำถามต่อการกล่าวหนึ่งโอกาสกำลังเหมาะสมและไม่มากเกินไป
การตั้งคำถามเน้นการแสดงความคิดเห็นร่วมกันไม่ได้ตัดสินการถูกผิด เว้นเสียแต่การถามในห้องอบรมบรรยายเพื่อประเมินความเข้าใจในประเด็นนโยบาย กลยุทธ์ที่สำคัญต่อองค์กรสามารถถามคำถามแบบปลายปิดได้เช่น ใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือผิด ข้อ1หรือข้อ2 เป็นต้น
8. ชื่นชมยินดี
การชื่นชมคือศิลปะการพูดขนานหนึ่ง เสริมสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนการรับฟัง นักสื่อสารผู้พูดไม่ว่าการประชุมกลุ่มย่อย ประชุมองค์กร พูดในที่สาธารณะต้องรู้จักสร้างแรงจูงใจด้วยใจจริง ชื่นชมบุคคล สิ่งแวดล้อม สิ่งที่พบเจอในสถานการณ์นั้น เช่น ถนนหนทาง บรรยากาศรอบข้าง ผู้คนที่พบเจอ รอยยิ้มที่ได้รับ การต้อนรับที่อบอุ่น ผลการประเมินทดสอบ เป็นต้น
9. มีความยืดหยุ่น
ในบางสถานการณ์นักพูดผู้สื่อสารอาจเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้การสนทนาไม่เป็นไปตามเป้าหมายเช่น บรรยากาศในห้องสนทนาคับแคบ เครื่องเสียงไม่อำนวย ถูกตัดทอนเนื้อหาบางส่วน ผู้เข้าร่วมฟังจำนวนน้อยเดินสลับผลัดเปลี่ยนเข้าออกตลอดช่วงบ่ายเนื่องจากติดภาระหน้าที่งานในช่วงนั้น
นักสื่อสารต้องยืดหยุ่นข้อมูลนำเสนอ การรวบข้อมูลให้กระชับชัดเจนขึ้นและหากเป็นประเด็นสำคัญให้นัดหมายการสนทนาเฉพาะกลุ่มอีกครั้งในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งการนัดหมายอาจเป็นลักษณะประชุมกลุ่มออนไลน์ สนทนาทางโทรศัพท์ หรือส่งข้อมูลทาง E-Mail เป็นต้น
10. รักษาเวลา
การรักษาเวลาเป็นหัวใจสำคัญในการพูด การพูดที่ดีต้องเตรียมเผื่อเวลาก่อนจบประเด็นไว้ 5-10 นาทีเพื่อตอบ-ถามคำถาม
ให้ผู้พูดเตรียมข้อมูลการพูดในหนึ่งสถานการณ์นั้น แบ่งเป็น 3 ช่วง
จงจำไว้ว่า นักสื่อสารที่ดีต้องมี 3 ช่วงเวลานำเสนอแบบ Present Like A Pro
“ต้นเรื่องประทับใจ ตอนกลางได้ความรู้ ตอนท้ายอยู่ในใจไม่ลืม ”
E-Mail : [email protected]
วันที่ : 08 มีนาคม 2566
จำนวนผู้เข้าชม 26921 คน
กรุณากดถูกใจ และ เพิ่มเพื่อน Line
การถ่ายทอดลำดับการสื่อสารเชิงลึกงาน Healthcare
การถ่ายทอดลำดับการสื่อสารเชิงลึกงาน Healthcare (In-Depth communications in Healthcare) เมื่อไรก็ตามที่คุณใช้รูปแบบการสื่อสารแบบ AIDET Plus+ ในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน ผู้ป่วยและครอบครัว
ความแตกต่าง AIDET & AIDET Plus
ความแตกต่างระหว่างรูปแบบการสื่อสารของบุคลากรทางการแพทย์แบบเดิม AIDET และแบบใหม่ AIDET Plus เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร สามารถขับเคลื่อนแผนการปฏิบัติไปให้ถึงเป้าหมายการพัฒนาบุคลากร
หลักสูตรการสื่อสาร AIDET Plus communications สำหรับบุคลากรทางการแพทย์
ยุค MK6.0 การจัดอบรมสำหรับบุคลากรสายงานสุขภาพทุกตำแหน่งในงานด้าน Healthcare เปลี่ยนไปในรูปแบบเน้นการสื่อสาร(Communication)กับผู้รับบริการให้มากขึ้น มีการเชื่อมโยงทั้งด้านการสัมผัสด้วยตาและรับรู้ด้วยใจ
อบรม ESB & AIDET Plus แก้ปัญหาการบริการและการสื่อสาร ?
อบรมพฤติกรรมบริการ (ESB) ไปแล้ว การเรียนรู้หลักสูตรเรื่อง AIDET Communications จำเป็นหรือไม่ ? AIDET เนื้อหาการเรียนรู้เรื่องอะไร ? นี่คือคำถามที่ผู้จัดอบรมในคลินิก และโรงพยาบาลหลายแห่ง
การสื่อสารแบบ AIDET Plus ทุกแผนกในโรงพยาบาลทำอย่างไร ?
ในอดีตผู้ปฏิบัติงานมีหน้าที่ปฏิบัติงานตามหลักใบกำหนดหน้าที่งาน (Job Descriptions) โดยปฏิบัติงานแต่ละหน้าที่ตามขั้นตอนงาน (Work Instruction) ที่จัดทำขึ้นมาจากมาตรฐานของแต่ละวิชาชีพตามหลักการความปลอดภัย
Human Touch In Healthcare ด้วย Touching & Feeling
Human Touch ถูกพูดถึงในการดูแลรักษาสุขภาพ มุมมองการมีจิตบริการมานาน ควบคู่กับคำว่า Empathy (การเอาใจใส่) ซึ่งหากพูดถึงแง่การลงมือปฏิบัติงาน Human Touch มีแนวทางนำไปใช้ได้อย่างไร ?